กำเนิด ศาสนาเชน (Jainism) และ ศาสนาพุทธ (Buddhism)

ภาพ พระพุทธรูป พระเชน


          ประมาณ 3,500 ปี หรือ 1,000 ปี ก่อนพุทธกาล ในประเทศอินเดีย ประชากรนับถือ และ มีความเชื่อ ลัทธิพระเวท (Veda) เชื่อในเทพเจ้าที่เกี่ยวข้องกับลมฟ้าอากาศของพวกอริยกะ (Indo-Aryans) ผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวพื้นเมือง ทราวิทะ (Dravidian) เรื่อง สังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิด จากนั้น ได้พัฒนาเป็นศาสนาพราหมณ์ (Brahmanism) ยึดถือ คัมภีร์พราหมณะ คัมภีร์อารันยกะ และ อุปนิษัท เป็นหลัก

          ครั้นต่อมา ประมาณสองพันกว่าปี ที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มตื่นตัวต่อความเชื่อเดิมๆ ของ ลัทธิพระเวทย์ มีผู้คิดค้นนำเสนอแนวคิด และ ลัทธิความเชื่อต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ล้วนมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือ ความหลุดพ้นของวิญญาณ เนื่องจากความเชื่อระบบ พราหมณ์ (Brahmanical) ให้ความสำคัญ พิธีกรรม บูชาสรรเสริญพระเจ้า และ เทพเจ้าต่างๆ บูชายัญด้วยสัตว์ ตามหลัก และ ข้อกำหนดของ คำภีร์พระเวท (Vedic) มิได้ส่งเสริมทางจิต ประชาชนมองไม่เห็นคุณค่าแห่งชึวิต การสวดอ้อนวอน สรรเสริญเทพเจ้า และ การถวายเครื่องสักการะ ล้วนก่อให้เกิดความสิ้นเปลือง ที่สำคัญอย่างยิ่ง การฆ่าสัตว์อย่างโหดร้าย เพื่อการบูชายัญ สร้างความสะเทือนใจแก่คนหมู่มาก ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงใฝ่หาหนทางอื่นที่ดีกว่า เพื่อช่วยปลดปล่อยวิญญาณได้พ้นทุกข์ ก่อให้เกิดลัทธิความเชื่อใหม่ๆ อุบัติขึ้นมากมาย เช่น ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ และ อื่นๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ปฏิรูปทางความคิดของคนอินเดีย ชักนำความเชื่อ และ ศรัทธาด้านจิตวิญญาณของผู้คนจำนวนมาก ให้ออกห่างจากลัทธิพระเวท

          พราหมณ์เป็นผู้ผูกขาด ควบคุมการจัดพิธีกรรมต่างๆ กำหนดชนชั้น วรรณะ ตั้งตนให้อยู่เหนือ ชนชั้นกษัตริย์ (Ksatriya) ผู้ซึ่งเป็นนักรบ และ ผู้ปกครองบ้านเมือง เหล่ากษัตริย์รู้สึกว่า ถูกพราหมณ์ฉกอำนาจ

          นักปฏิรูปทางจิตวิญญาณในยุคนี้ ที่สำคัญ โดดเด่นมากที่สุด และ ยังคงสถานะหลงเหลืออยู่มาถึงทุกวันนี้ ล้วนมาจากตระกูลกษัตริย์ พระปารศวะนาท (Parsvanath) พระมหาวีระ (Mahavira) และ พระโคตะมะ (Gotama) ซึ่งพระปารศวะนาทเป็นพระองค์แรก ผู้ริเริ่มแนวคิดก่อน จากนั้น เวลาผ่านไปสองร้อยกว่าปี สองพระองค์หลังดังที่กล่าวมา ได้ปฏิบัติตาม เคลื่อนไหวสั่งสอนเผยแพร่แนวคิดความเชื่อใหม่ในแคว้น มคธ (Magadha) และ แคว้นใกล้เคียง โดยมีหลักการตรงกัน คือ ต่อต้านพิธีกรรม และ การบูชายัญด้วยการฆ่าสัตว์ของระบบพระเวท

          ความกล้าคิดกล้าทำเช่นนี้ เกิดจากหมู่ชนภาคตะวันออกของอินเดีย ในเขตพื้นที่สูงแนวเขาหิมาลัย ซึ่งหมู่ชนเหล่านี้ ล้วนสืบเชื้อสายมาจาก มองโกล (Sino-Tibetan Mongoloid) ชนชาติผิวเหลือง ไม่ใช่เชื้อสาย อริยกะ (Indo-Aryans) ต่างมีแนวคิด และ ปรัชญาของตน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมองว่าพราหมณ์ คือ ผู้แปลกแยก อ้างตนเป็นผู้รอบรู้ ติดต่อเทพเจ้าได้ ผูกขาดหนทางสู่ความสงบแห่งวิญญาณฯ

          ความเชื่อใหม่ที่โดดเด่น คือ ลัทธิเชน (Jainism) ของ พระปารศวะนาท และ พระมหาวีระ กับ ลัทธิพุทธ (Buddhism) ของพระโคตะมะ ซึ่งต่อมาทั้งสองลัทธินี้เติบใหญ่ กลายเป็นศาสนาในที่สุด มีผลต่อแนวคิด และ หลักปฏิบัติตนในสังคมของมวลมนุษย์ชาติ

          สองศาสนานี้ ก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง ต่อต้านหลักการของลัทธิพราหมณ์ แต่ก็ใช่ว่าจะแตกต่างไปจากลัทธิพราหมณ์ อย่างสิ้นเชิงก็หาไม่ เพราะ พระปารศวะนาท พระมหาวีระ และ พระโคตะมะ แต่ก่อนต่างก็ล้วนนับถือ และ เกี่ยวข้องกับลัทธิพราหมณ์ จึงมิได้ทำลาย ไม่ปฏิเสธระบบวรรณะ หรือ ละทิ้งความเชื่อของสังคมพราหมณ์-ฮินดูแต่อย่างใด เพียงแต่ปฏิเสธอำนาจของพระเวท ประณามการบูชายัญ และ เลิกการเคารพบูชาเทพเจ้า หากมองผิวเผิน ทั้งศาสนาเชน และ ศาสนาพุทธ ยังคงมีแนวคิด และ หลักปฏิบัติหลายอย่างของศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยึดถือความเชื่อในหลักการของ การเวียนว่ายตายเกิด โดยมี กรรม (Karma) เป็นปฐมเหตุแห่งชีวิต ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวอินเดียมาแต่โบราณ ก่อนการเข้ามาของชาวอริยกะ (Indo-Aryans)

          ผลกระทบจากความเชื่อใหม่จากลัทธิ เชน และ พุทธ ก่อให้เกิดการปฏิรูปศาสนาพราหมณ์ กล่าวคือ ในพุทธศตวรรษที่ 9 ได้ กำหนดให้เกิดมีเทพเจ้าองค์ใหม่ๆ พระพรหมณ์ พระวิศณุ (พระนารายณ์) ขนานนามตนเองว่า ศาสนาฮินดู (Hinduism) หรือ พราหมณ์-ฮินดู (Brahmanical Hinduism) มี คัมภีร์ปุราณะต่างๆ รวมทั้งมหากาพย์ มหาภารตะ และ รามายาณะ ยอมรับและผนวกจุดเด่น หลักการอหิงสา (Ahimsa) ของศาสนาเชน และ กลืนความดีงามในบุคคลิกภาพของพระพุทธเจ้า ให้เป็นอวตาร (Avarta) ปางหนึ่ง ของพระวิษณุ (พระนารายณ์) เพื่อช่วงชิงศรัทธาจากมวลชน ที่ได้เคยหันไปนับถือศาสนาเชน และ ศาสนาพุทธ

ศาสนาเชน (Chainism)
          นักบุญ หรือ ศาสดาของศาสนาเชน คือ ถีรถังกร (Tirthankara) ผู้สร้างทางข้ามไปยังอีกฝั่ง ตามตำนานความเชื่อ ได้เกิดขึ้น และ มีมาก่อนหน้าแล้ว 22 องค์ พระปารศวะนาท (Parsvanath) ถีรถังกรองค์ที่ 23 ได้มาจุติ สั่งสอนตามความเชื่อของศาสนาเชน และ พระมหาวีระ ถีรถังกรองค์ที่ 24 ลำดับหลังสุด เป็นผู้ปฏิรูปธรรมต่อจากพระปารศวะนาท

          คำภีร์ศาสนาเชนระบุว่า พระปารศวะนาท นิพพานก่อนพระมหาวีระ 250 ปี คือ ได้เทศนาแสดงธรรมก่อนหน้า 2791 ปี

          พระปารศวะนาท เป็นราชโอรสของกษัตริย์ เมืองพาราณสี (Benares) ครึ่งหลังของชีวิตได้สละทางโลก ออกแสวงหาความสงบ ดำรงตนเป็นนักพรตเยี่ยงฤษี บำเพ็ญทุกข์กริยา นุ่งห่มขาว ได้กำหนดหลักการสี่ข้อแก่สาวก และ ผู้นับถือ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พูดแต่ความจริง ไม่ลักขโมย ไม่ยึดติดต่อทรัพย์สิ่งของ ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นหลักคำสอนพื้นฐานของ ศาสนาเชน

          ศาสดาของศาสนาเชนองค์หลังสุด หรือ ถีรถังกร องค์ที่ 24 คือ วรรธมานะ (Vardhamana) นิยมเรียกขานกันว่า มหาวีระ (Mahavira) ผู้เป็นราชโอรสในวรรณะกษัตริย์ (Kshatriya) แห่งเมืองเวสาลี (Vaisali) ตระกูล ชนตริก (Janatrika) หรือ ที่เรียกว่า ลิชฉะวีย์ (Lichchavi) และ เป็นพระญาติทางพระมารดากับกษัตริย์เมือง วิเทหา (Videha) มคธ (Magadha) และ อังกะ (Anga) เมื่อพระชนมายุ 30 ได้สละทางโลก และ ถือปฏิบัติตามแนวทางของ พระปารศวะนาท ใช้เวลา 12 ปี ทรมานตนด้วยการอดอาหาร และ ทำสมาธิ ในที่สุดสำเร็จบรรลุธรรม จากนั้นได้ประกาศศาสนาโดย กำหนดและเพิ่มหลักปฏิบัติจากเดิมสี่ข้อของพระปารศวะนาท อีกหลายข้อ และ ได้รับขนานนามว่า ชินะ (Jina) คือ ผู้ชนะ จากเหล่าศานุศิษย์ หรือ อีกพระนามหนึ่ง นิกรณ (Nirgranthas) ผู้ปราศจากพันธนาการ ไม่นุ่งห่มอาภรณ์ ไม่ยึดถือครอบครองใดๆ

          พระมหาวีระได้เดินทางธุดงค์แสดงธรรมเทศนาสั่งสอนในแคว้นมคธ (Magadha) แคว้นวิเทหา (Videha) หรือ Tirhoot และ แคว้นอังกะ (Anga) หรือ Bhagalpur พระองค์ได้กำหนดกฏเกณฑ์ใหม่ ให้คนทุกสาขาอาชีพบวชเป็นพระ หรือ ชี ได้ทั้งชายและหญิง โดยมิได้กีดกันชนชั้น ขยายลัทธิความเชื่อในหมู่เครือญาติ และ ชนชั้นปกครองระดับสูงในแคว้นต่างๆ

          คัมภีร์ของศาสนาเชนบันทึกว่า พระเจ้าพิมพิสาร (Bimbisara) และ พระเจ้าอชาติศัตรู (Ajatasatru) ล้วนเป็นศานุศิษย์ ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของศาสนาเชน

          พระมหาวีระใช้เวลาเทศนาสั่งสอน 30 ปี นิพพานที่เมือง ปาวา (Pawa) ปัจจุบันอยู่ในเขตเมืองปาตลีบุตร (Patna) โดยทั่วไประบุ 527 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ ประมาณ 2541 ปี แต่คำภีร์ภาษาบาลีของศาสนาพุทธระบุว่า พระพุทธเจ้า และ พระมหาวีระ มีชีวิตร่วมสมัยเดียวกัน อย่างไรก็ดี เหมจันทร์ (Hemchandra) ผู้เป็นนักประพันธ์ และ ปราชญ์ของศาสนาเชน มีชีวิตระหว่าง พ.ศ. 1668 - 1702 ได้ระบุว่า 467 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ ประมาณ 2481 ปี ซึ่งนักวิชาการต่างให้น้ำหนักและยอมรับช่วงเวลาดังกล่าวนี้

          ศาสนิกชนชาวเชน นับถือ บูชา แด่ ศาสดา พระปารศวะนาท และ พระมหาวีระ เป็น ถีรถังกร (Tirthankara) หรือ ชินะ (Jinas) สูงสุด

          หลักศาสนาเชนเน้น การควบคุม ประพฤติตน ให้มีความอดกลั้น ประหยัด อดออม ไม่ฟุ่มเฟือย หลักธรรมสำคัญที่พระมหาวีระมุ่งเน้นเผยแพร่ คือ การปฏิบัติให้ถึง นิพพาน (Nirvana) โดยการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งโลกีย์ กระทำได้ด้วยการยึด และ ปฏิบัติตน ตาม ไตรรัตน์ คือ ความเชื่อที่ถูกต้อง ความรู้ที่ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ตามหลักของศาสนาเชน

          ศาสนาเชนปฏิเสธอำนาจและหลักปฏิบัติของพระเวท ประนามแนวคิดพระเจ้าสร้างโลก จักรวาลไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด พระเจ้าเป็นเพียงความดีงามอันสูงส่งที่ประจักษ์ในจิตวิญญานของตัวเรา ศาสนาเชนมีปรัชญาความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด สังสารวัฏ เช่นเดียวกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทุกชีวิต มนุษย์ สัตว์ พืช จุลินทรีย์ มิอาจดับสูญ ไม่เว้นแม้กระทั่งธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ล้วนแต่ต้องพึ่งพาตนเอง ไม่สามารถพึ่งพาชีวิตอื่นได้ ทุกชีวิตมี กรรม (Karma) อันเป็นผลของการกระทำที่จะส่งผลให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด สิ่งต่างๆ ที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ล้วนมีวิญญาณตามระดับชั้นแห่งการรับรู้

          หลักการเบื้องต้นแห่งการปฏิบัติทางด้านศืลธรรม คือ การไม่กระทำทารุณกรรม ไม่ประทุษร้ายต่อสรรพสิ่งที่มีชีวิต มนุษย์ สัตว์ จุลชีพ และ พืช ต้องเป็นมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด โลกีย์ทำให้วิญญาณไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อันเนื่องมาจาก กรรม (Karma) ที่ได้เคยก่อไว้ กิเลศ คือ ตัวตนเราเอง ยิ่งทรมานตนมากเท่าไร ก็จะชนะกิเลสมากเท่านั้น

          ศาสนาเชนแบ่งออกเป็นนิกายหลัก สองนิกาย คือ

เศวตคัมพร (Svetambaras) นุ่งห่มขาว นักบวชฉันต์อาหารก่อนพระอาทิตตกดิน รับอาหารจากผู้ถวายด้วยบาตร พำนักประจำในอาราม จาริกแสวงบุญเป็นครั้งคราว บวชได้ทั้งบุรุษและสตรี

ทิฆัมพร (Digambaras) นุ่งลมห่มฟ้า หรือ ผู้ที่ไม่นุ่งห่มอาภรณ์ใดๆ นักบวชมีสมบัติติดตัวเพียงไม้กวาดหางนกยูงสำหรับปัดกวาดแมลง กาน้ำสำหรับบรรจุน้ำดื่ม ฉันต์อาหารมื้อเดียว รับอาหารจากผู้ถวายด้วยฝ่ามือ ไม่พำนักในอารามเว้นแต่เข้าพรรษา นอกนั้นเดินทางจาริกเผยแพร่ธรรม เป็นนิกายสุดโต่ง บวชได้แต่บุรุษ

          หัวใจของศาสนาเชน คือ หลัก อหิงสา (Ahimsa) ละเว้นการฆ่า การทำร้าย การเบียดเบียนทุกรูปแบบ ทั้งในความคิด วาจา การกระทำ ผู้นับถือศาสนาเชนต้องเป็นมังสะวิรัตโดยสมบูรณ์ ไม่กินเนื้อสัตว์ และ ไข่

          ตามวิถีของศาสนาเชน พืชต้องห้ามบางชนิด พืชลงหัว เช่น หัวมันต่างๆ หัวหอม หัวกระเทียม รากไม้ หน่อไม้ ถือว่ายังมีชีวิต การกินพืชเหล่านี้ถือเป็นการทำลายชีวิตพืชนั้นๆ ทันที ส่วนธัญพืช เช่น ถั่ว งา และ ข้าว ต่างๆ ต้องปล่อยให้แห้งตายก่อน คือ สิ้นอายุขัยหลังจากได้ผลิดอกออกผลเป็นเมล็ดแล้ว หรือ พืชผัก หากจะกินสดจากใบหรือลำต้น ต้องตัดเหนือโคนและราก เพื่อให้โคนและรากของพืชนั้นๆ มีชีวิตอยู่ต่อไป

          นักบวชผู้ปฏิบัติ สิ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง ได้ชื่อว่า อรหันต์

          ศาสนาเชน จำกัดตัวเองอยู่แต่ในประเทศอินเดีย ไม่พยายามเผยแพร่ออกไปนอกประเทศ แม้นกำเนิดในแคว้นเวสาลี และ แคว้นมคธ แต่กิจกรรมต่างๆ เคลื่อนไหวตื่นตัว และมีผู้นับถือจำนวนมากในแคว้น Gujarat, Malawa และ Rajputana

          ศาสนาเชนมีอิทธิพลต่ออารยธรรมของอินเดียใต้มาก วรรณกรรม และ วรรณคดียุคแรกๆ ที่เป็นภาษา Kanaresa และ Tamil ล้วนประพันธ์โดยนักบวชในศาสนาเชน คำสอนหลัก อหิงสา (Ahimsa) เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น มีอิทธิพลต่อศาสนาอื่นมาก ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูได้นำไปผนวกเป็นข้อกำหนดของศาสนาตน และ ศาสนาพุทธได้นำหลักการนี้ไปปรับใช้เช่นกัน ดั่งในข้อแรกของศิลห้า แต่ไม่เข้มงวดนัก

          ความที่ศาสนาเชนเป็นศาสนาที่มีหลักปฏิบัติเข้มงวดมาก ยากที่คนธรรมดาสามัญจะปฏิบัติได้ครบถ้วน ต่อมาจึงได้มีการปรับให้เหมาะสม โดยยอมให้กฏและศีลของฆราวาสไม่เข้มงวดเท่าของนักบวช ที่สำคัญ คือ พืช สัตว์ และ จุลินทรีย์ ล้วนมีวิญญาณ นักบวช และ ผู้นับถือศาสนาเชนต้องมีผ้าปิดปาก เพื่อป้องกันแมลงตัวเล็กๆ และ จุลินทรีย์ มิให้ถูกทำลายชีวิตจากการหลุดเข้าปาก จะเป็นการฆ่าโดยไม่ตั้งใจ เวลาเดินไปในที่ต่างๆ ต้องปัดกวาดไปข้างหน้า เพื่อป้องกันการเดินเหยียบมดหรือแมลง ในฤดูฝนพืชต่างๆ เจริญงอกงามไปทั่ว นักบวชและผู้ทรงศีล จะไม่เดินทางธุดงค์ เพื่อป้องกันไม่ให้ไปเหยียบย่ำ ต้นพืช ต้นหญ้า และ แมลงต่างๆ ที่มีอยู่ชุกชุม ด้วยเหตุนี้ ศาสนาเชนจึงกำหนดเป็นกฎ และ บังคับให้นักบวชต้องอยู่จำในพรรษา 4 เดือน เริ่มตั้งแต่ย่างเข้าฤดูฝน ห้ามเดินทางจาริกไปในที่ต่างๆ

          จากความเข้มงวดในกฎเกณดังกล่าว จึงไม่มีศาสนิกชนชาวเชนประกอบอาชีพเกษตรกรรม เพราะการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร มีความเสี่ยงที่จะไปเบียดเบียนที่อยู่อาศัย และ ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้พื้นดิน จะเป็นการกระทำผิดต่อ หลักอหิงสา ศาสนิกชนชาวเชนส่วนใหญ่ จึงประกอบอาชีพ นักข่าว เจ้าของหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ โรงพิมพ์ นักวิชาการ นักการศึกษา เจ้าของสถานศึกษา นักกฏหมาย พ่อค้า นักธุรกิจ นักพัฒนาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ นักอุตสาหกรรม นายธนาคาร ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ ศาสนิกชนชาวเชน จึงเป็นผู้ที่มีความรู้สูง ฐานะดี มีความมั่งคั่ง ร่ำรวยที่สุดในหมู่ชนชาวอินเดียทั้งปวง ทั้งที่ศาสนิกชนชาวเชนเป็นขนกลุ่มน้อยที่สุดในประเทศ คือ มีเพียง 5 ล้านคนของประขากรในประเทศอินเดีย ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นกลุ่มชนเล็กๆ ปรับตัวเข้ากับสถานะการณ์ต่างๆได้ดี ทั้งๆ ที่ในอดีตต้องดิ้นรนต่อสู้ทางความคิดกับ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาพุทธ และ ทำสงครามปกป้องตนเองกับผู้รุกรานชาวอิสลาม ซึ่งจองล้างจองผลาญย่ำยีลัทธิความเชื่อของศาสนาอื่น

          หลักของศาสนาเชน ประนามระบบวรรณะ แต่ในทางปฎิบัติกลับปรับตัวแบ่งรับแบ่งสู้ยอมให้มีระดับชนชั้นของนักบวชต่างวรรณะ นักบวชเชนที่มาจากวรรณะพราหมณ์จะมีลำดับสูงกว่าผู้ที่มาจากวรรณะอื่น ความยืดหยุ่นนี้ คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้ศาสนาเชนสามารถดำรงคงอยู่ได้ในแดนเกิดประเทศอินเดียตราบถึงทุกวันนี้

ภาพ พระเชนรูป


ภาพ พระเชนรูป


ภาพ พระเชนรูป


ภาพ พระเชนรูป


ภาพ พระเชนรูป


ศาสนาพุทธ (Buddhism)
          พระโคตะมะ (Gautama) วรรณะกษัตริย์ (Kashatriya) เป็นราชโอรสของกษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสต์ (Kapilavastu) แห่งแคว้นสักกะ หรือ อีกพระนามหนึ่ง ศากยามุนี (Sakyamuni) นักบวชแห่งตระกูลศากยา ชีวิตแรกเกิดไม่ต่างไปจาก พระปารศวะนาท (Parsvanath) และ พระมหาวีระ (Mahavira) เมื่อวัยหนุ่มมักครุ่นคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิต ผู้คนที่มีทั้งทุกข์และสุข ความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากสักกะเป็นแคว้นเล็ก ถูกกดดันภายใต้อิทธิพลของแคว้นข้างเคียงที่ใหญ่กว่า โดยเฉพาะแคว้นโกศล ขัดแย้งแย่งน้ำชลประทานเพื่อการเกษตร อยู่เนืองๆ เนื่องจากแคว้นสักกะตั้งอยู่เหนือน้ำ

          อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ไม่ยินดีต่อสถานะภาพความเป็นมกุฏราชกุมาร (Crown Prince) ความสุขสำราญ หรูหราฟุ่มเฟือยที่มีอยู่ เมื่อพระชนมายุ 29 ได้ตัดสินพระทัย สละละทิ้งพระราชวัง และ ครอบครัว ดั้นด้นเดินทางแสนไกลไปทางใต้ ยังแคว้นมคธ (Magadha) ซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆ ถูกกระหนาบรายล้อมจากแคว้นที่ใหญ่กว่า บ่อยครั้งกระทบกระทั่ง รบพุ่ง ทำสงครามต่อกันหลายครั้ง แต่ก็ยังรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนของตนไว้ได้ เนื่องจากตั้งอยู่ในชัยภูมิแข็งแกร่งด้วยเนินเขาล้อมรอบ ปกครองโดย พระเจ้าพิมพิสาร (Bimbisara) และ พระเจ้าอชาติศัตรู (Ajatasatru) ภายใต้หลักปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของศาสนาเชน

          ณ ที่นั้น ได้ศึกษาหลักปรัชญากับผู้รู้ ปฏิบัติตนตามหลักของ ศาสนาเชน บังคับจิตด้วยการทรมานกาย อดอาหาร ตามหลักปฏิบัติของ พระปารศวะนาท (Parsvanath) ผลลัพธ์ คือ ความทุกข์ทรมาน ร่างกายผ่ายผอม อ่อนเพลียอิดโรย ไม่เกิดความรู้แจ้งใดๆ โดยที่จิตของพระองค์ ยังคงตั้งมั่น มุ่งไฝ่หาความรู้ความเข้าใจของแก่นแท้ และ พลังแห่งชีวิต ซึ่งต่างจากเหล่าสาวกของศาสนาเชนทั้งหลาย ตั้งจิตมั่นแต่ในหลักปฏิบัติของศาสนาเชน มุ่งทรมานร่างกายด้วยการอดอาหาร เพื่อให้จิตค่อยๆ อ่อนแรง สงบ และ ดับ ตายไปในที่สุด เพื่อบรรลุ นิพพาน (Nirvana) ตามวิถีของศาสนาเชน

          พระองค์ทรงเห็นว่า ชีวิตมีค่า ไม่ควรฝืนธรรมชาติ ชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร ต้องพยายามเพียรค้นหาต่อไป จึงได้ละการปฏิบัติตามวิถีของศาสนาเชน ตัดสินใจกลับมาเสวยอาหารเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวดั่งเดิม ใช้เวลานานอยู่หลายเดือน เมื่อร่างกายฟื้นตัวแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว จึงได้ไปหาที่สงบใต้ต้นโพธ์ใหญ่ในเขต คยา (Gaya) ปัจจุบัน ทบทวนชีวิต จากประสพการณ์ต่างๆ ในอดีต ลำดับสาเหตุ และ ผลที่เกิดตามมาของเหตุการต่างๆ เหล่านั้น มีทั้งดีก่อให้เกิดสุข และร้ายก่อให้เกิดทุกข์ วิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่รอบกาย ทบทวนกลับไปกลับมาหลายรอบ ในที่สุดก็ค้นพบความจริง กฏของธรรมชาติ มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ลำดับขั้นตอนก่อนหลัง ที่มาที่ไปให้ถูกต้อง ทำใจให้เป็นกลาง ไม่โอนเอนตามแนวคิดความเชื่อของลัทธิใด มนุษย์ และ ธรรมชาติ เป็นตัวกำหนดความจริงของชีวิต มิได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า หรือ เทพเจ้า ความทุกข์และความสุข ล้วนมีที่มาจากการกระทำของตัวเรา ถ้ามีการกระทำ จะก่อให้เกิดผล ดี หรือ ไม่ดี ตามมา ถ้าไม่มีการกระทำ ย่อมไม่เกิดผลใดๆ ตามมา ... เว้นแต่ความทุกข์บางอย่าง เกิดจากการถูกกำหนด จำกัดสิทธิ์จากผู้อื่น เช่น การแบ่งชั้น วรรณะ หรือ จากธรรมชาติ เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย สังขาร โรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ

          พระองค์ได้ตั้งพระทัย จะใช้ชีวิตที่มีอยู่เพื่อมุ่งเผยแพร่ กฏความจริงแห่งธรรมชาติ แก่ผู้คนเพื่อได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของชีวิต บนพื้นฐานและหลักการของเชน ในแนวทางที่ง่ายต่อการเข้าใจและปฏิบัติได้ง่าย แบบกลางๆ ไม่สุดโต่ง และไม่หย่อนเกินไป

          พระองค์ได้เดินทางไปยังสารนาท (Saranath) ใกล้เมืองพาราณสี (Benares) ณ ที่แห่งนั้น มีผู้ศรัทธา เลื่อมใส เข้าร่วมบวชเป็นสาวก และ ติดตามพระองค์ จำนวนหนึ่ง

          ความที่พระองค์ มีความคุ้นเคยพื้นที่ในแคว้นมคธ แรกๆ พระองค์ได้เพียรพยายามเผยแพร่ทำความเข้าใจ และ สั่งสอนหลักความจริงเหล่านี้อยู่หลายปี ทว่าเป็นไปโดยยาก เพราะแคว้นมคธเป็นฐานที่ตั้ง หยั่งรากลึกอย่างมั่นคงของศาสนาเชน ซึ่งได้ปักหลักอยู่มาก่อนที่พระโคตะมะจะเข้ามาศึกษาเรียนรู้ ปฎิบัติตนจนบรรลุพระสัมโพธิญาณ ประการสำคัญ พระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นมคธในขณะนั้น ให้ความอุปถัมภ์ศาสนาเชน ขณะเดียวกันพระองค์ถูกขัดขวางจากเหล่าสาวกเชนต่างๆ นาๆ ต้องปกป้องภัย ดั่งเหตุการ ยมกปาฏิหารย์ปราบช้างนาลาคีฬี ในที่สุด ต้องตัดสินใจเดินทางขึ้นเหนือ ประกาศแนวคิดตามแว่นแคว้นใกล้เคียงต่างๆ ที่เดินทางผ่านไป หากเจ้าผู้ครองแคว้นใดให้การอุปถัมภ์ จะพำนักอยู่นาน รวมเวลา 45 ปี ตลอดเวลาดังกล่าว นั้น พระองค์ไม่เคยหวลกลับมายังแคว้นมคธ

          พระองค์มีสาวกและสานุศิษย์มากมาย ทรงได้รับสมญานาม พระพุทธเจ้า (Buddha) ผู้เป็นแสงสว่าง ให้ความกระจ่าง

          พระพุทธเจ้าทรงห่วงใยพระญาติ และ ผู้คนของเมืองกบิลพัสต์ ทรงกังวลความขัดแย้งระหว่างแคว้น ซึ่งมีมาแต่เดิม พระองค์ได้เคยเสด็จไปขัดขวาง ห้ามทัพแคว้นโกศลหลายครั้ง ในบั้นปลายชีวิต พระองค์ต้องการไปพำนักยังถิ่นประสูติ เพื่ออยู่ปกป้องเหล่าประยูรญาติ จึงได้เดินทางรอนแรมมุ่งไปยังกรุงกบิลพัสต์ ระหว่างทางเกิดอาพาธ ต้องแวะพักรักษาพระวรกายที่เมืองเล็กๆ กุสินารา (Kusinagara) พำนักอยู่หลายเดือน ทรงอาพาธหนัก ในที่สุด เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ ที่แห่งนี้ ศิริพระชนมายุ 80 ปี จึงเป็นที่น่าเสียดายที่พระองค์ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ เพราะก่อนหน้าที่พระองค์จะนิพพานสองเดือน แคว้นโกศลได้ส่งกองทัพไปทำลายล้างตระกูลศากยา และ กรุงกบิลพัสต์

          บันทึกของลังกาวงศ์ เชื่อว่าพระพุทธเจ้านิพพาน 544 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือ 2558 ปี แต่ Geiger ระบุว่า 483 ปี ก่อนคริสต์ศักราช หรือ 2497 ปี แต่บันทึกของจีนโบราณระบุ 486 ปี ก่อนคริสต์ศักราช หรือ 2500 ปี จากการศึกษาบันทึกและหลักฐานอ้างอิงเหล่านี้ นักวิชาการส่วนใหญ่ต่างให้ความสำคัญ และ ยอมรับบันทึกของจีน มากกว่าข้ออ้างจากบันทึกอื่นๆ

          หลักคำสอนของพุทธศาสนา คือ ความทุกข์ต่างๆ ล้วนมาจากความอยากได้อยากมี รัก โลภ โกรธ หลง หรือ ที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา ราคะ โลกีย์ หากหยุดอารมณ์ความู้สึกเหล่านี้ได้ ย่อมหยุดความทุกข์ได้ การที่จะหยุด กิเลส ตันหา ราคะ โลกีย์ ต้องมีวินัย ควบคุมตนเอง รู้จักทบทวนปฏิบัติตนให้มีสติ สำรวม บำเพ็ญสมาธิในภาวะที่พอเหมาะ ไม่เข้มงวดเหมือนของศาสนาเชน คือ ให้เดินสายกลาง ต้องไม่เป็นการทรมานร่างกายเข้มข้นถึงตาย เพราะชีวิตมีค่า ปฏิบัติเพื่อให้รับรู้ จะได้ หมดกรรม หากปฏิบัติได้ตามนี้ ย่อมหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่ นิพพาน (Nirvana) สภาวะของการดับสูญอย่างสมบูรณ์ ไม่ต้องกลับมาเกิด

          ศาสนาพุทธยอมรับกฏแห่ง กรรม (Karma) ของศาสนา พราหมณ์-ฮินดู (Brahmanical Hinduism) สถานะของบุคลคลที่มีชีวิตเป็นอยู่ ย่อมสืบเนื่องมาจากเหตุแห่งกรรม ที่ได้เคยกระทำมาแต่เก่าก่อน หรือชาติปางก่อน ดั่งห่วงโซ่ที่ถูกร้อยเรียงกัน ในทำนองเดียวกัน ศาสนาพุทธก็มีหลักการเช่นเดียวกับศาสนา เชน (Jain) คือ ยอมรับการมีชีวิตของสรรพสัตว์ ไม่มีการแบ่งชั้น ปฏิเสธวรรณะ เพิกเฉยไม่ให้ความสำคัญต่อการมีตัวตนของพระเจ้าผู้สร้างโลก

          พระพุทธเจ้าโจมตีลัทธิความเชื่อที่งมงาย ตำหนิพิธีกรรม และ เล่ห์ของนักบวช ประณามผู้ที่มีผลประโยชน์ได้เสียกับเรื่องเหล่านี้ นอกจากนี้ยังโจมตีแนวความคิดที่ส่งเสริมเทววิทยา และ ปาฏิหาริย์ต่างๆ พระพุทธเจ้าทรงเน้นหนักเรื่องศีลธรรม จริยธรรม ให้ยึดมั่นใน ตรรกะ (logic) หลักแห่งเหตุผล และ ประสพการณ์ มุ่งสอนให้ปฏิบัติจิต ปฏิบัติตนให้อยู่ใน ศีล (Silas) ต้องยึดมั่น และ ปฏิบัติเป็นหลัก หมั่นทำ สมาธิ (Samadhi) เพื่อให้จิตสงบ และ วิปัสสนา (Prajna) เพ่งพิจารณาตนเองจากภายใน เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งในตัวตน

          นักบวชผู้ปฏิบัติตน หมดสิ้นกิเลสทั้งปวง ได้ชื่อว่า อรหันต์ เช่นเดียวกับศาสนาเชน

          พระพุทธเจ้าไม่เคยอวดอ้างตนเป็นผู้วิเศษ ไม่แสดงธรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระผู้เป็นเจ้า มุ่งเน้นย้ำให้เหล่าสาวก สานุศิษย์ยึดถือ เชื่อ ปฏิบัติตามการชี้นำ และ คำสอนของพระองค์ ห้ามยึดถือตัวตนของพระองค์เป็นพระเจ้า ไม่สรรเสริญ ไม่อ้อนวอน ไม่บนบานร้องขอ ตนเท่านั้น เป็นที่พึ่งแห่งตน

          เมื่อก่อนโน้น ศาสนาพุทธก็เหมือนกับลัทธิความเชื่ออื่นๆ นิยมยอมรับเฉพาะที่เฉพาะถิ่นของแคว้นต่างๆ ในภาคเหนือ กลุ่มชนส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแนวพระเวท ส่วนศาสนาเชน และ ศาสนาพุทธเป็นเพียงกลุ่มเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนาพุทธเป็นกลุ่มที่เล็กกว่าศาสนาเชน เพราะกำเนิดทีหลัง และ เพิ่งเข้ามาเผยแพร่ ต่อเมื่อ พระเจ้าอโศก (Asoka) แห่งแคว้นมคธ ซึ่งแต่เดิมพระองค์นับถือศาสนา เชน (Jain) ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ พระองค์ได้ส่งเสริม และ กำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของแผ่นดิน เผยแพร่ไปทั่วอาณาจักร ส่งเหล่าธรรมทูตของศาสนาพุทธไปเผยแพร่ในต่างแดน แต่นั้นมา ศาสนาพุทธจึงรุ่งเรืองได้รับความนิยมนับถือไปทั่วชมภูทวีป และ ประเทศใกล้เคียง เนื่องจากกษัตริย์ และ ราชวงศ์ต่างๆ ให้ความอุปถัมภ์ ขณะเดียวกันศาสนาพุทธเอง ก็ได้ปรับตัวให้เป็นที่ยอมรับ และ เข้ากันได้กับ แนวคิด แนวปฏิบัติ และ วิถีชีวิตของชนต่างถิ่นต่างภูมิประเทศ ที่สำคัญคือ นิกาย มหายาน (Mahayana) ได้ผนวกความเชื่อในเทพเจ้า วิถีปฏิบัติของพราหมณ์ และ โซโลแอสเตอร์ (Zoroastrianism ลัทธิบูชาไฟ ของชาวเปอร์เชีย) เพื่อให้เข้ากันได้กับความเชื่อของชนในถิ่นที่เผยแพร่ไปถึง ส่วนนิกายดั้งเดิม คือ หินยาน หรือ เถรวาท (Theravada) เป็นนิกายที่ยึด และ ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สองนิกายนี้ ให้ความสำคัญ กำหนดให้มี สถาบันสงฆ์ (Sangha) เพื่อ การจัดการ และ บริหารอย่างเป็นระบบ เป็นเครื่องมือส่งเสริมให้ศาสนาพุทธแพร่กระจายขยายตัวไปทั่ว บนหลักการของศาสนาที่เน้นการให้ ความเสมอภาค ปราศจากข้อห้าม กีดกันใดๆ ให้ความเอื้ออารี ปรองดอง ไม่กร้าวร้าว พึ่งตนเอง พินิจวิเคราะห์แก้ปัญหาด้วย เหตุและผล บนพื้นฐาน และ หลักการของธรรมชาติ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของศาสนาพุทธ จึงมีผู้คนจำนวนมากได้เปลี่ยนมานับถือ

          ความสำเร็จของพระพุทธเจ้า รูัจักใช้ประโยชน์ โดยสารความเชื่อดั้งเดิม เรื่องกรรม (Karma) ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เฉกเช่นเดียวกันก้บศาสนาเชน เพื่อเป็นตัวตั้งต้นมูลเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ให้มุ่งสู่นิพพาน (Nirvana) ซึ่งเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม และรับเอาหลักปรัชญา อะหิงสา (Ahimsa) ของศาสนาเชน เพื่อให้เหล่าสาวกของพระองค์ มีจิตใจอ่อนโยน มีเมตตา พระองค์ทรงกำหนดหลักปฏิบัติให้อยู่กึ่งกลาง ระหว่างศาสนาเชน และ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ ให้เดินสายกลาง ไม่เข้มข้น แต่สำรวม ยึดหลักจริยธรรม เน้นการปฏิบัติด้านศีลธรรม มากกว่ากฏเกณฑ์ข้อบังคับ

          ส่วนความสำเร็จของเหล่าธรรมทูตของพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งมาจากบุคคลิกเฉพาะตัว วางตนเฉกเช่นมนุษย์ปุถุชน เทศนาดลใจ เปิดกว้าง เข้าใจง่าย เข้าถึง มีอิสระในการประกอบกิจทางศาสนา ไม่สิ้นเปลือง ฟุ่มเฟือย ในการทำพิธีกรรม ผู้อยู่ในวรรณะต่ำได้รับการยกระดับสถานะทางสังคม ชีวิตโดยรวมทางสังคม จึงมีความสงบสุข คุณภาพชีวิตดีขึ้น

          ความเสื่อมถอยของศาสนาพุทธในอินเดียเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปจากเหตุหลายประการ

ประการแรก เหล่าพราหมณ์ ซึ่งเป็นปรปักษ์อยู่ก่อนแล้ว ยังคงรักษาความเชื่อในลัทธิพราหมณ์ของหมู่ตน มิได้เหือดหายไปในยุคที่ศาสนาพุทธรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นศาสนาหลักของอาณาจักร พราหมณ์ยังคงมีอิทธิพลเหนืออำนาจการปกครองอย่างเงียบๆ กาลเวลาที่ผ่านไปเริ่มเข้มแข็งและเด่นชัด กล่าวคือ เมื่อสิ้นราชวงศ์โมรียะ พระเจ้าปุสยามิตร (Pushyamitra) ได้สถาปนาราชวงศ์ ศุงกะ (Sunga) กษัตริย์ในราชวงศ์นี้ นับถือ และ ส่งเสริมฟื้นฟูศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อาราม และ ศาสนะสถานของชาวพุทธหลายแห่ง ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่สำคัญที่สุด คือ ในสมัยราชวงศ์ คุปตะ (Gupta) ได้เกิดการปฏิรูป ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นการใหญ่ นำโดย กุมารลิลละ ภัตต์ (Kumarilla-bhatta) ได้เพิ่มสมมุติเทพอีกสองพระองค์ พระพรหม และ พระวิศณุ (พระนารายณ์) มีหน้าที่พิทักษ์ทุกข์สุขมวลมนุษย์ ผนวกเข้ากับพระศิวะ มหาเทพที่มีมาแต่เดิม เรียกว่าตรีมูรติ (Trimurti)

ประการที่สอง กาลเวลาที่ผ่านมา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (Brahmanical Hinduism) ได้ค่อยๆ ปรับ และ รับแนวคิดของศาสนาพุทธเข้าไปผสมผสาน ที่สำคัญ ได้กำหนดให้พระพุทธเจ้าเป็นพระนารายณ์อวตารองค์ที่เก้า เสด็จลงมาปราบยุคเข็ญในโลกมนุษย์

ประการที่สาม การปฏิบัติทางจิต และ ควบคุมตนเองตามแนวทางของศาสนาพุทธ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั้น ยากที่จะก่อให้เกิดความมั่นใจแก่สามัญชนระดับล่าง เพราะคนหมู่มากยังยึดติดการบูชา สวดอ้อนวอน บนบานร้องขอต่อสิ่งศักดิสิทธิ์

ประการที่สี่ เกิดการคอรับชั่นในหมู่สถาบันสงฆ์ เนื่องจาก การส่งเสริม รณรงค์ให้พุทธศาสนิกชน เน้นการทำบุญ ทำทาน ถวายจตุปัจจัย เงินทอง เพื่อสั่งสมบุญบารมีใว้ในภพหน้า ยังความมั่งคั่งแก่สถาบันสงฆ์ พุทธสถานใหญ่โตโอฬาร นักบวชสะสมเงินทอง ผู้มีความรู้ถูกเมินไม่เป็นที่น่านับถือ บ้างก็เห็นแก่ความมั่งคั่ง บารมี ได้แยกตนออกไปตั้งนิกายใหม่ เสนอแนวคิดการปฏิบัติศาสนะกิจที่เอื้อ และ เอาใจผู้ศรัทธา

ประการที่ห้า เหล่าผู้รุกรานจำนวนมากจากต่างแดน เข้ามาในอินเดียช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 และ 11 ต่างนิยมชมชอบ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพราะเป็นพหุเทวะ เลือกนับถือได้ตามความนิยม เนื่องจากศาสนาพุทธไม่ส่งเสริมภาวะผู้นำ ไม่คาดหวังอนาคต บังคับแต่ตนเพื่อดับทุกข์ ไม่ทะเยอทะยาน มุ่งแต่นิพพาน

ประการสุดท้าย ศาสนาพุทธถูกทำลายล้างผลาญโดยกองทัพมุสลิมผู้รุกราน จากความอ่อนแอ ปราศจากการต่อต้านปกป้องใดๆ พุทธสถาน อาราม สถาบันการศึกษา ล้วนเป็นที่สั่งสมความมั่งคั่งร่ำรวย เป็นเป้าหมาย ถูกปล้น เผาทำลาย เหล่านักบวชต่างพากันหลบหนีภัยเอาตัวรอด ไปพึ่งพิงอารามในแคว้นเล็กๆ บนภูเขาหิมาลัยที่ห่างไกล อาทิ เนปาล ภูฐาน สิกขิม อัสสัม ฯลฯ มีผลต่อความวิบัติ ทำให้ศาสนาพุทธสูญสลายไปจากชมภูทวีปในเวลาอันรวดเร็ว จากขาดความสามัคคี ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เนื่องจากแตกแยกหลากหลายนิกาย สาเหตุที่สำคัญ คือ ศาสนาพุทธ มิได้สอนให้ชาวพุทธรู้จักต่อสู้ ปกป้องตนเองจากอิทธิพลภายนอก ภัยคุกคามจากต่างลัทธิ กอร์ปกับปราศจากผู้คิดกอบกู้ ฟื้นฟูพุทธศาสนา ต่างจาก ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และ ศาสนาเชน ต่างมีความสามัคคี ยืนหยัด สู้รบ ปกป้อง ฟื้นฟู ถึงกับมีบทบรรญัตในศาสนา ผู้ใดต่อสู้ปกป้องศาสนา จะไม่เสียบุญใดๆ กลับจะได้รับการปลดปล่อยพ้นกรรม ยังผลให้ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และ ศาสนาเชน คงอยู่คู่ประเทศอินเดียตราบทุกวันนี้

          ด้วยเหตุเหล่านี้ ศาสนาพุทธ จึงได้สูญไปจากแดนเกิด ประเทศอินเดีย

ภาพ พระพุทธรูป


ภาพ พระพุทธรูป


ภาพ พระพุทธรูป


ภาพ พระพุทธรูป


ความแตกต่างระหว่าง ศาสนาเชน กับ ศาสนาพุทธ

          ศาสนาเชน และ ศาสนาพุทธ ล้วนมีรากเหง้ามาจาก ศาสนาพราหมณ์ (Brahmanical) ทั้งสองศาสนา มีความคล้ายคลึงกัน มีหลักปฏิบัติของชีวิต เพื่อให้บรรลุถึงความรู้ที่ไม่มีตัวตน ด้วยวิถีการปฏิบัติตน ให้เป็นกลางต่อสภาวะของโลกีย์ที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ใช่แต่เท่านั้น ทั้งสองศาสนา ต่างมีการควบคุมจัดการ และ รวมกลุ่มของตน โดยมีระบอบคณะสงฆ์ผู้ปฏิบัติพรหมจรรย์ และ นักบวช ทั้งสองศาสนาต่างปฏิเสธหลักการ อำนาจของ พระเวท (Vedas) และ การอ้างสิทธิผูกขาดของพราหมณ์อย่างสิ้นเชิง ทั้งสองศาสนาปฏิเสธการบูชายัญ ยืนกราน สั่งสอนให้รับรู้ และ ยอมรับการมีชีวิตของสรรพสัตว์ นี่คือ สิ่งที่สองศาสนามีการปฏิรูปที่เหมือนกัน

          ในความเหมือนกันนี้ กลับมีความแตกต่างในทางปฏิบัติ ผู้นับถือของสองศาสนา นี้ ต่างศึกษาคำสอน ประพฤติ และ ปฏิบัติตนให้เป็น คนใจบุญ ในวิถีทางที่แตกต่างกัน เช่น ศาสนาเชนให้ความสำคัญต่อฆราวาส แต่ศาสนาพุทธให้ความสำคัญต่อการปกครองของคณะสงฆ์ และ บทบัญญัติของศาสนา

          ความแตกต่างที่สำคัญที่สุด คือ ศาสนาเชนเป็นระบบปฏิบัติทางจริยธรรมอย่างเข้มงวด จำกัดอาหารการกิน ปลงอาบัติอย่างรุนแรง ปรัชญาซับซ้อน เน้นหนักแนวดำเนินชีวิต และ ความนึกคิดที่เคร่งครัดแบบนักพรต รับรอง ยอมรับวิธีการทรมานตน เพื่อทำให้ร่างกายหมดความรู้สึกรับรู้แห่ง กิเลส ตันหา โลกีย์ หากจะปลดปล่อยตน ต้องค่อยๆ อดอาหาร และ ตายจากไปในที่สุด เพื่อเข้าสู่ภาวะแห่ง นิพพาน (Nirvana) ซึ่ง ศาสนาพุทธ รังเกียจ วิธีการดังกล่าว ส่งเสริมมุ่งเน้น แต่การควบคุมตนเอง ประพฤติปฏิบัติตามกฏแห่งศีล เพื่อบรรลุถึงนิพพาน

          ศาสนาเชนรับเอาแนวคิดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น การแต่งงาน การรับรู้วรรณะ ตามข้อเท็จจริงแล้ว ศาสนาเชนมิได้ออกห่างไปจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งต่างจากศาสนาพุทธ ที่พัฒนาตนเองให้มีอิสระ และ ออกห่างจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมากกว่า


**********


          ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ท่านสามารถนำ ข้อเขียน เนื้อหา ไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องแจ้งแต่ประการใด ส่วนภาพประกอบในสาระน่ารู้เหล่านี้ได้คัดลอกมาจาก Internet Public Domains บางภาพอาจมีลายน้ำต้องคงไว้เป็นตัวอ้างอิงถึงที่มา ต้องให้ Credit แก่เจ้าของภาพ และ www.dandinth.com เพื่อประโยชน์ต่อการสืบค้น

คลิกที่นี่ เพื่อกลับไปเริ่มต้นอ่านใหม่

กลับไปหน้าหลัก