นิทานชาดก ก่อนยุคพระศรีอริยเมตไตรย์ Pre-Utopia


พระศรีอริยเมตรไตรย์ ภาพประกอบในคำภีร์ใบลาน สมัยปาละ อายุกว่า 1,200 ปี


          อินเดียในยุคกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ 14 ปลายราชวงศ์คุปตะ ต้นราชวงศ์ปาละ ศาสนาพุทธในสมัยนั้น มีพระโพธิสัตว์อยู่แล้วหนึ่งองค์ คือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปัทมะปานี (Bodhisattava Patmapani) ถือดอกบัวก้านยาว มีรูปพระพุทธเจ้า (พระศากยมุนี) นั่งปางสมาธิเหนือศิราภรณ์ ตามคติของนิกายเถรวาท (หินยาน) พระโพธิสัตว์องค์นี้ จะมาจุติตามกฏของ สังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิด เป็นพระศากยมุนี (Sakyamuni) และจะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า (Buddha) ดั่งเรื่องเล่าในนิทานชาดกที่มีมาแต่เดิม แต่คติของนิกายมหายาน พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปัทมะปานี คือ พระผู้ปกป้อง มีหน้าที่คุ้มครองคอยดูแล และนำทางมนุษย์ไปสู่สรวงสวรรค์ แม้นปราศจากพระศากยมุนี ซึ่งได้นิพพานจากโลกนี้

          ผู้นำจิตวิญญาณของศาสนาพุทธนิกายมหายานในอดีต มีความเป็นห่วงอนาคตของศาสนาฯ จะเสื่อมสูญไม่มีผู้นิยมนับถือ เพราะผู้คนพัฒนาไปทางวัตถุ ออกห่างจากการพัฒนาจิตวิญญาณ ย่อมเป็นการแน่นอนต่อไปภายภาคหน้า ผู้คนจะเสื่อมทรามไร้ศีลธรรม จึงเกิดความคิดที่จะกำหนดให้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ในอนาคต ถัดจากพระศากยมุนี โดยกำหนดชื่อ พระโพธิสัตว์ ไมตรีย์ (Bodhisattava Maitreya) ชาวไทยเรียก พระศรีอริยะเมตไตรย์ ถือดอกอ้อก้านยาว มีรูปพระสถูปเจดีย์เหนือศิราภรณ์ ให้เป็นพระโพธิสัตว์องค์ที่สอง เตรียมตัวไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคตเมื่อสิ้นศาสนาพุทธ หรือ ที่เรียกกันว่าสิ้นพุทธกาลของพระศากยมุนี

          คติความเชื่อว่า โลกมนุษย์ในอนาคตจะอยู่อย่างไร้ศีลธรรม สังคมเสื่อมทราม ไร้ศาสนา ไร้ขื่อแป ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับตรงกันของทุกศาสนาและทุกลัทธิความเชื่อ ดังนั้น จึงมีคำพยากรณ์ว่า โลกในอนาคตจะมีพระเจ้าองค์ใหม่ เช่น ศาสนาฮินดู-พราหม์จะมีพระวิศณุ (พระนารายณ์) อวตารปางใหม่ ศาสนาบาไฮจะมีพระเจ้าองค์ใหม่ ศาสนาเจนจะมีธิทังกรองค์ใหม่ ศาสนาคริสต์จะมีพระเยซูองค์ใหม่ ศาสนาอิสลามจะมีพระโมฮัมมัดองค์ใหม่ และ ลัทธิอื่นๆ ฯลฯ เสด็จลงมาโปรดเพื่อไถ่บาป จัดระเบียบสังคม และ สั่งสอนศีลธรรมแก่ศาสนิกชนของศาสนานั้น

          นิทานชาดกในกลุ่มนี้ ตัวเอกของเรื่องถูกเล่าในรูปของมนุษย์ผู้มีจิตประเสริฐ ในยุคอารยธรรมสมัยใหม่ มีความเจริญรุ่งเรือง สะดวกสบายด้วยเทคโนโลยีและวิทยาการ เน้นเนื้อหาบนหลักของเหตุผล ตรรกะ ผิด ชอบ ชั่ว ดี ย้อนกลับไปสอดคล้องกับหลักปรัชญาของพุทธศาสนายุคต้น อิงกฏของธรรมชาติ จากหลักการของพระศากยมุนี (Sakyamuni) ธรรมเกิดมาจากเหตุ ปฏิเสธ นรก สวรรค์ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีเทพเทวดา


ภาพจาก Internet: Credit British Museum, London.

ศรัทธา

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ใกล้เมืองมธุรา (Mathura) ต้นฤดูใบไม้ร่วง พระเจ้าขะนิสกะ (Kanishka) กษัตริย์แห่งอาณาจักรคุชาน (Kushan) พร้อมด้วยเหล่าข้าราชสำนักและบริพาร ได้ยกขบวนเดินทางจากเมืองปิชาวา (Purushapura) ซึ่งเป็นเมืองหลวงฤดูร้อน ย้ายมาพำนักและว่าราชการที่เมืองหลวงฤดูหนาวมธุรา

          ระหว่างทางได้พบกระท่อมหลังหนึ่งปลูกอยู่ในดงไม้ใหญ่ บริเวณรอบข้างรายล้อมด้วยทุ่งข้าวโพดและข้าวสาลี มีนกยูงเดินไปมาหลายคู่ ตัวผู้บางตัวกำลังแพนขนหางอวดแววมยุราสวยงามเกี้ยวพาราสีนกยูงตัวเมีย ใกล้ๆ กันนั้นมีฝูงกวางดาวสิบกว่าตัวเดินแทะเล็มหญ้า แกะและแพะเกาะกลุ่มอยู่ใต้ร่มไม้ บนยอดรวงข้าวมีนกกระจาบจำนวนมากกำลังจิกกินเมล็ดข้าว โดยรอบมีเสียงนกร้องโต้ตอบกัน ฟังแล้วรู้สึกเพลิดเพลินดี ในชีวิตนี้ไม่เคยพบบรรยากาศเช่นนี้เลย คิดได้ดังนั้น พระเจ้าขะนิสกะสั่งหยุดพักและลงจากราชรถ ยืนทอดพระเนตรโดยรอบ ร่มรื่นน่าอยู่โดยแท้ ทรงก้าวเดินตรงไปยังกระท่อมหลังนั้น

          สองตายายและหนึ่งชายหนุ่มรีบออกจากบ้านมาต้อนรับ เพราะเห็นขบวนผู้คนจำนวนมากหยุดพักใกล้บ้าน และเห็นชายสูงอายุหนวดเครายาวสวยเป็นระเบียบในชุดผ้าไหมอาภรณ์ราคาแพง กำลังเดินตรงมายังบ้าน

          ไม่ทันทั้งสามจะเอ่ยปาก ได้ยินคำชมจากชายสูงอายุหนวดเครางาม น่าอิจฉาจัง มีบ้านในบรรยากาศแสนร่มรื่น อบอุ่นด้วยเพื่อนสรรพสัตว์ ทั้งสามโค้งคำนับน้อมรับคำชม ต่างชี้ชวนกันเดินดูบริเวณโดยรอบ จากนั้น ผู้สูงอายุทั้งสามเดินเข้าไปในกระท่อม ยกเว้นชายหนุ่มปลีกตัวไปหักฝักข้าวโพดเพื่อเลี้ยงแขก

          ตาและยายจัดน้ำ แขกผู้สูงอายุนั่งบนแคร่ไม้ที่มุมห้อง รับน้ำมาดื่มพลางมองไปโดยรอบ ความเป็นอยู่ช่างเรียบง่าย มีของใช้ที่จำเป็นไม่กี่อย่าง ที่ด้านหนึ่งของห้องมีหิ้งไม้เล็กๆ ติดข้างฝา บนหิ้งมีดอกดาวเรืองสีเหลืองวางอยู่หลายดอก เหนือขึ้นไปที่ฝาบ้านมีรูปวงกลมสีดำ ถูกเขียนด้วยถ่านจากไม้ฟืนในเตา ลักษณะดั่งกงล้อธรรมจักร พระองค์หันมามองที่สองตายาย และเอ่ยถาม นับถือพระศากยมุนีหรือ? สองตายายพยักหน้าด้วยความนอบน้อม พลางตอบว่า เพิ่งเปลี่ยนมานับถือไม่นานมานี้ ยังความสนใจแก่ชายสูงอายุหนวดเครางามผู้นี้

          ในอดีต สองตายายเป็นชาวปาสี (Persian) เดิมทีนับถือศาสนาโซโลแอสเตอร์ (Zoroastrianism) ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ฐานะความเป็นอยู่ดี มีข้าทาสบริวารกว่าสี่สิบคน มีอยู่ปีหนึ่ง เกิดภัยพิบัติ ฤดูหนาวอากาศเย็นจัด ฤดูร้อนแห้งแล้งจัด ฝูงตั๊กแตนระบาดกัดกินพืชผล ธัญญาหารเสียหายเก็บเกี่ยวไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ลำบากยากแค้นไปทุกหัวระแหง

          เช้าวันหนึ่งในยามยากลำบาก มีชายกลุ่มหนึ่งนุ่งห่มเหลืองคล้ายนักพรตศาสนาฮินดู-พราหมณ์ทั่วไป เดินมาตามถนนผ่านหน้าบ้านมุ่งทิศใต้ไปทางเมืองมธุรา กลุ่มนักพรตเหล่านี้เดินเกาะกลุ่มกันด้วยอาการสำรวม สงบไม่ลุกลี้ลุกลนเร่งรีบเหมือนพวกอื่นๆ ที่เคยเดินผ่านไปมา ผู้เป็นตาจึงได้ตะโกนถามไป พันเตทั้งหลายเดินทางไปที่แห่งใดหรือ? เชิญหยุดพักเหนื่อย ดื่มน้ำก่อนเถอะ เหล่านักพรตรับคำเชิญ เมื่อได้ดื่มน้ำจนหายเหนื่อย ต่างถามไถ่สาระสุขดิบระหว่างกันกับเจ้าของบ้าน ผู้เป็นหัวหน้าในกลุ่มนักพรตได้แสดงตน พวกเขาทั้งหมดเป็นภิกษุบวชอยู่ในพุทธศาสนา มีพระศากยมุนีเป็นศาสดา สอนให้ศานุศิษย์ปฏิบัติและครองตนในกรอบของศีล ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทุกชีวิตมีค่า ย่อมรักและหวงแหนชีวิต ไม่ว่าคนหรือสัตว์ล้วนดิ้นรนหากินเพื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ละโมบ ไม่เบียดเบียน ไม่เอาเปรียบ แบ่งปันให้โอกาส ไม่ถือชั้นวรรณะ ให้ความเสมอภาคและความเท่าเทียมเสมอกัน ไม่หมิ่น ไม่เหยียดหยามผู้ด้อยกว่า ไม่งมงายกับความไร้เหตุผล

          ตาเจ้าของบ้านพึงพอใจที่ได้ยินเทศนาเช่นนั้น ได้บอกให้ยายยกสำรับอาหารมาถวายภิกษุเหล่านั้น เพราะใกล้ยามเที่ยงแล้ว เหล่าภิกษุรับอาหารไปเพียงบางส่วน ที่เหลือคืนให้เจ้าของบ้าน ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ ตาและยายควรถนอมออมไว้ดูแลคนในครอบครอง เมื่ออิ่ม เหล่าภิกษุพร้อมกันกล่าวขอบคุณและอำลา

          ก่อนหน้านี้ทุกครั้งในรอบปี เมื่อถึงรอบพิธีกรรม ต้องทำพิธีบูชาไฟ ด้วยการบูชายัญแพะและแกะ แก่เทพเจ้าอะฮูลามาซด้า (Ahuramazda) ทุกวันมีกิจวัตรประจำต้องกระทำ คือ รีบตื่นแต่เช้ายืนหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเมื่อดวงอาทิตย์กำลังขึ้น สวดอ้อนวอนต้อนรับดวงอาทิตย์ และทุกเย็นก่อนค่ำเมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะคล้อยต่ำลับขอบฟ้า ต้องสวดอำลาดวงอาทิตย์ ในชีวิตคิดแต่ทำมาหากินเพื่อให้ได้เงินทองมากๆ สุดท้ายของชีวิตเมื่อตาย ... ส่งศพไปเลี้ยงนกแร้งที่ป่าช้า ความซับซ้อนแห่งชีวิตอยู่ที่หลักปฎิบัติ กฏเกณฑ์ และความเชื่อของแต่ละลัทธิ

          เมื่อเหล่าภิกษุจากไป ตัวเขาภรรยาและบุตรปรึกษากัน เมื่อมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าจำต้องเลือก ในที่สุดได้สั่งลูกน้องปล่อยสัตว์เลี้ยงทุกตัวที่ถูกขังอยู่ในคอกให้เป็นอิสระ จากนั้น เมื่อทุกคนอิ่มจากอาหารมื้อค่ำแล้ว เขาได้ประกาศยกเลิกความเป็นทาสให้แก่ทุกคนมีอิสระ แบ่งปันเงินทองให้ทุกคนได้ไปตั้งตัวประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัว มีเสรีภาพจะไปอยู่แห่งหนตำบลใดกับใครผู้ใดก็ได้ ยังความปลาบปลื้มยินดีแก่ทุกคนได้มีชีวิตใหม่ ...

          แปลกไหม ... เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปหมด ปล่อยให้พวกเราอยู่กันสามพ่อแม่ลูก น่าจะเงียบเหงา แต่เปล่าเลย ... บรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งหลายมิได้หนีหายไปไหน ยังคงวนเวียนออกลูก และหากินอยู่แต่ในบริเวณนี้

          ชายสูงอายุหนวดเครางาม ส่ายหน้าไม่เข้าใจ ถามด้วยความสนเท่ห์ เป็นไปได้อย่างไร สัตว์เหล่านั้น มิกินพืชผลจนหมดสิ้นหรือไร ... ตาแก่เจ้าของบ้านยิ้มอย่างอารมณ์ดี สัตว์เหล่านี้เมื่อกินอิ่มก็ถ่ายมูลเป็นปุ๋ยบำรุงดินกลับไปเลี้ยงต้นพืช เมื่อถึงฤดูกาลพวกเราช่วยกันหว่านปลูกทดแทนมากกว่าเดิม ปลูกเผื่อเหลือให้สัตว์เหล่านั้น ถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างคนกับสัตว์ ถึงเวลาเก็บเกี่ยวอย่าได้เก็บทั้งหมด ต้องละเหลือไว้ แบ่งปันกันกิน ไม่เบียดเบียนกัน

          ชายสูงอายุหนวดเครางามลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงสดใส เช่นนี้นี่เอง สถานที่นี้ถึงได้ร่มรื่นน่าอยู่ ประเสริฐแท้ ท่านศาสนิกชนขององค์พระศากยมุนี ขอบใจมาก เราได้รับรู้สัจธรรมจากท่าน จะนำไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป จากนั้น หันไปมองที่หิ้งไม้ข้างฝาบ้าน กงล้อธรรมจักรสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธ เขียนจากถ่านไม้ฟืน ล้วงมือเข้าไปในชายเสื้อผ้าไหม หยิบสิ่งหนึ่งออกมายื่นให้ตาแก่

          ตาแก่เจ้าของบ้านยื่นมือไปรับด้วยความยินดี เป็นเหรียญทองคำขนาดไม่กว้างไปกว่านิ้วหัวแม่มือ ด้านหนึ่งเป็นรูปคนยืนหน้าตรงนุ่งห่มครองจีวรดั่งภิกษุในศาสนาพุทธ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปกษัตริย์หนวดเครายาว พระเจ้าขะนิสกะยืนผินหน้า มือซ้ายถือทวนยาว มือขวาทำพิธีโปรยกำยาน หน้าตาเหมือนผู้สูงอายุเครายาวงาม กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า

          ตาแก่ตกใจ รีบก้มลงคุกเข่า มหาราชโปรดประทานอภัยในความไร้มารยาทต่อพระเจ้าแผ่นดิน ยายแก่ที่นั่งอยู่ข้างๆ งงงวยด้วยความไม่เข้าใจ พระเจ้าขะนิสกะทรงโน้มพระวรกายและก้มลงมาพลางตรัสว่า อย่าตกใจและอย่าแปลกใจ เราก็เป็นชาวพุทธเหมือนท่าน จงเก็บรักษาไว้ให้จงดี เหรียญทองคำนี้ ด้านหนึ่งคือรูปตัวเรา อีกด้านหนึ่งคือรูปพระศากยมุนี

          วิสาสะกันสักครู่ ทั้งสามเดินออกจากบ้าน โดยมีตาและยายเดินห่างๆ ตามหลังพระเจ้าขะนิสกะ พอดีกับชายหนุ่มบุตรชายฯ หอบฝักข้าวโพดเดินเข้ามา พระองค์ทรงเอ่ยปากขอฝักเดียว หยิบไปหนึ่งฝัก จากนั้นเดินตรงไปยังราชรถ โบกมือให้สัญญาณออกเดินทาง

          เวลาผ่านไปหลายปี บ่ายวันหนึ่งเหล่าอดีตข้าทาสบริวารเดิมของตายายคู่นี้ ได้นัดรวมตัวกันมาเยี่ยมตายายและบุตรชายที่บ้าน มีการรัปทานอาหารร่วมกันและแสดงความยินดี ทุกคนมีฐานะ ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ที่สำคัญ เมื่อเขาเหล่านั้นได้ลิ้มรสอิสระภาพและเสรีภาพ ต่างได้เปลี่ยนไปนับถือพระศากยมุนี พักอาศัยดำรงชีพในกลุ่มสังคมชาวพุทธ



ซากสถูป Piprahwa หลังบูรณะ สถูปเดียวในหลายสถูปบรรจุพระสารีริกธาติของพระพุทเจ้าหลังถวายพระเพลิง ไม่ถูกพระเจ้าอโศกเปิด

ศรัทธา เลื่อมใส

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชานเมืองเก่ากรุงกบิลพัตร (Kapilavastu) เป็นที่ตั้งพระสถูปสร้างโดยเหล่าพระญาติของตระกูลศากยา เพื่อบรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้าศากยมุนี ได้รับการแบ่งปันส่วนจากโทณะพราหมณ์ เมืองกุสินารา (Kusinagara) เดิมทีเมื่อแรกสร้าง ถูกก่อด้วยมูลดินขุดจากรอบข้างขึ้นกลบ ภายในตรงกลางก่ออิฐดินเผาเป็นห้องเล็กๆ บรรจุเก็บพระอังคารฯ ต่อมาปลายราชวงศ์โมริยะ ได้ขยายให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วยอิฐดินเผา มาบัดนี้ พระเจ้าขะนิสกะ (Kanishka) กษัตริย์แห่งอาณาจักรคุชาน (Kushan) ทรงรับสั่ง ขยายพระสถูปให้กว้างใหญ่กว่าเดิมอีก ด้วยอิฐดินเผาและยกฉัตรสามชั้นขึ้นเหนือยอดพระสถูป ให้สมพระเกียรติโดดเด่นเห็นแต่ไกล และได้สร้างวิหารสำหรับพระสงฆ์ได้อยู่จำวัด เพื่อปฏิบัติกิจดูแล และกระทำพิธีบูชาพระสถูป

          ขณะที่เหล่านายช่างและคนงานจากเมืองมธุรา (Mathura) กำลังพักผ่อนอยู่ในกระโจมผ้าใต้กลุ่มต้นไทรและต้นโพธิ์ ซึ่งเป็นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ทั่วไปในบริเวณนี้ ห่างออกไปภายใต้ร่มเงาแดดจากองค์พระสถูป พระเจ้าขะนิสกะกำลังนั่งปรึกษาสนทนาธรรมกับพระผู้ใหญ่ชั้นผู้นำสงฆ์นิกายฝ่ายเหนือ หรือที่เรียกขานกันว่า นิกายมหายาน ซึ่งได้ร่วมเดินทางมาด้วยสามองค์ได้แก่ พระอัศวะโกษา (Asvaghosha) พระวาสุมิตร (Vasumitra) และ พระนครจุน (Nagarjuna) พระองค์ทรงปรารภ แปลกโดยแท้ ทำไมพระเจ้าอโศก (Asoka) ถึงได้ละเว้นไม่แตะต้องพระอังคารของพระศากยมุนี และไม่ขุดแต่งเสริมสร้างแต่อย่างใด ทั้งที่พระสถูปทุกแห่งที่เก็บรักษาพระอังคารของพระศากยมุนี ทุกแห่งทุกเมืองถูกขุด บูรณะตกแต่งพระสถูปเดิมให้แข็งแรงมั่นคง แบ่งเก็บบางส่วนของพระอังคารฯ ไว้ในที่เดิม ส่วนใหญ่ที่เหลือถูกนำออกไป จากนั้น ตั้งเสาหินให้รับรู้พระราชอำนาจและบารมี

          พระอัศวะโกษา ยิ้มพลางพย้กหน้าและกล่าวตอบ จะว่าไม่รู้หรือไม่พบเห็นย่อมเป็นการยาก เพราะเป็นถึงมหาราชาผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระราชอำนาจเหนือแผ่นดิน อาตมาเข้าใจว่า ครั้งนั้น พระเจ้าอโศกคงเห็นว่า ลุมพินี สถานที่ประสูติของพระศากยมุนีมีความสำคัญมากกว่า และสถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้เกินไป จะบดบังความสำคัญของสถานที่ประสูติฯ แต่ก็น่าแปลกใจ ลุมพินีมีแต่อารามและที่พักสำหรับผู้ธุดงค์ ประกาศศักดาด้วยเสาหินประดิษฐานม้ายืน ไม่มีพระสถูป ... แต่บริเวณนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากสถูปโทรมๆ พระวาสุมิตร พยักหน้าเห็นด้วย กล่าวเสริมว่า น่าสังเกตจากซากปรักหักพังของกรุงกบิลพัตรเมืองร้างที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออก เดิมทีเคยเป็นเมืองหลวงมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ถึงจะถูกทำลายจากภัยสงคราม ก็ไม่น่าอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ไม่ควรไร้ผู้คนเช่นนี้

          พระนครจุน หันมาที่พระเจ้าขะนิสกะ อาตมาเชื่อว่า น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น บดบังผู้คนไม่ให้รู้คุณค่า มองไม่เห็น เมื่อสิ้นตระกูลศากยะ บารมีอำนาจหมดไปไร้การดูแล ... ครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นกล่าวถามต่อ พระองค์คิดอย่างไรถึงได้พาพวกเราดั้นด้นรอนแรมเดินทางมาไกลแสนไกลจากเมืองมธุรา เพื่อบูรณะสถูปในถิ่นที่ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญและไม่รู้จักเช่นนี้

          พระเจ้าขะนิสกะทอดพระเนตรมายังพระนครจุน ซึ่งนั่งห่างถัดออกไป ครุ่นคิดในใจ นึกแล้วเชียวว่าจะต้องถูกถามเช่นนี้ ในสถานที่แห้งแล้งรกร้างไร้ผู้คนอาศัย ทรงพระศรวลเบาๆ ตอบว่า ตัวเรานี้มีความสงสัย ทำไมพระเจ้าอโศกละเว้นไม่แตะต้อง ปล่อยให้ทรุดโทรมดังเช่นที่พวกเราได้เห็นเมื่อแรกพบก่อนหน้านี้ ความรู้สึกนี้ ติดอยู่ในใจเรามานาน จากที่ได้รับทราบจากพ่อค้าแดนไกลแถบเทือกเขาหิมาลัยว่า ตัวเขาเคยเดินทางค้าขายผ่านเมืองร้างกบิลพัตร ทุกครั้งที่เดินทางผ่านจะแวะพักค้างแรมข้างๆ ซากสถูปเก่าทรุดโทรมดั่งมูลดินกองใหญ่มีอิฐหินระเกะระกะ ทุกครั้งเสมอมา ความรู้สึกเหนื่อยล้าท้อแท้จากการเดินทางรอนแรมทำการค้าจะหมดสิ้นไป แทนที่ด้วยความกระปรี้กระเปร่าเมื่อตื่นขึ้นเช้าวันใหม่ มีกำลังใจฮึกเหิมอยากทำหน้าที่ในอาชีพพ่อค้าแดนไกลต่อไป

          พระเจ้าขะนิสกะลูบหนวดเครายาวให้เข้าที่ดูดี กล่าวต่อ ทุกครั้งที่เรามองมาทางทิศตะวันออกจะมองเห็นแสงเรืองรองรำไรในคืนเดือนดับ อยากมีกำลังวังชาสร้างอาณาจักรให้กว้างใหญ่เทียบเท่าพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งแคว้นมคธ ... พระเจ้าขะนิสกะเงยพระพักตร์ขึ้นไปมองพระสถูป พลางพูดด้วยน้ำเสียงเปลี่ยนไป ตัวเราบัดนี้ มีความรู้สึกต่างไปจากพ่อค้าแดนไกลผู้นั้น ความรู้สึกฮึกเหิมทะเยอทะยานอยากกระทำสงครามขยายดินแดนได้หมดไป ถูกแทนที่ด้วยความสงบ อยากเห็นบ้านเมืองมั่งคัง อุดมสมบูรณ์ พลเมืองอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยหลักคำสอนและปฏิบัติตนของพระศากยมุนี แทนที่จะส่งกองทัพไปรุกรานบังคับให้เข้าพวก เราใคร่ขอให้สาธุคุณทั้งสามท่านนี้ ช่วยจัดส่งธรรมฑูตไปเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระศากยมุนี พระผู้ใหญ่ทั้งสามต่างพยักหน้าน้อมรับ พร้อมเอ่ย ด้วยความยินดี มหาราช

          เมื่อเสด็จกลับถึงเมืองมธุรา พระเจ้าขะนิสกะได้จัดพระสงฆ์ไปอยู่ประจำ พร้อมตราประทับของพระอาราม อักขระพราหมณ์มี (Brahmi script) มีพระนามของพระองค์กำกับ ความว่า Devaputra vihara kapilvastu bhikshu mahasanghasa ทรงสั่งเกณฑ์ผู้คนในตำบลใกล้เคียงมาอยู่รวมกัน เพื่อดูแลและช่วยทำนุบำรุงพุทธศาสนา กำหนดให้ยกเว้นการเก็บภาษีผู้อยู่อาศัยในตำบลนี้

          จากนั้นมา ศาสนาพุทธนิกายมหายานได้เผยแพร่ไปทั่วเอเชียกลางเข้าไปในจีนไกลถึงเกาหลี ดินแดนตะวันตกแสนห่างไกลเช่น อียิปต์และกรีกโบราณ ต่างรับรู้ปรัชญาศาสนาพุทธ แม้แต่ในชมภูทวีปต้องปรับเปลี่ยนจากนิกายเถรวาทเดิมเป็นนิกายมหายาน มีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปัทมะปานี เป็นพระผู้ปกป้องคุ้มครองดูแลมวลมนุษย์ให้ปฏิบัติตนไปสู่ชีวิตที่ดีในภาคหน้า

          ชั่วกาลนานนับจากนั้นมากว่าสองพันปี พระสถูปผุกร่อนตามกาลเวลากลายเป็นมูลดินแสนแห้งแล้ง ปกคลุมด้วยพุ่มไม้เตี้ยซึ่งมีอยู่ทั่วไปในบริเวนนั้น และแล้ววันหนึ่งพระสถูปแห่งนี้ถูกขุดพบโดยนักล่าสมบัติ W.C. Peppe เมื่อปี ค.ศ. 1898 ที่ Piprahwa จากนั้นได้มีการขุดค้นและตกแต่งสถานที่อีกครั้ง นำโดย K.M. SRIVASTAVA เจ้าหน้าที่โบราณคดี จากพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงนิวเดลฮี ระหว่างปี ค.ศ. 1971 - 1973

          อังคารของพระศากยมุนีลักษณะกระดูกมนุษย์ ดั่งหินปูนสุกจากการถูกเผา มีรูพรุนชิ้นเล็กชิ้นน้อยบรรจุอยู่ในผะอบมีฝาปิดทำจากหินฟองสบู่ (Soap stone) ได้ถูกนำออกให้ชาวโลกรับรู้ บางส่วนแบ่งปันไปบรรจุทั่วดินแดนที่มีผู้คนนับถือ ... ผลจากการขุดค้นสองครั้งนี้ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ขัดแย้งกังขาของชาวพุทธกลุ่มอนุรักษ์ ปฏิเสธและไม่ยอมรับสิ่งที่ขุดพบ เพราะเชื่อแต่ในพระไตรปิฎก ยึดคัมภีร์บรมสารีริกธาตุ ประพันธ์โดยพระสงฆ์จากเกาะลังกามาแต่โบราณเป็นสรณะ กำหนดให้มีลักษณะและคุณสมบัติเฉพาะ เป็นวัตถุชิ้นเล็กๆ ดั่งเม็ดหิน แก้ว พลอย สารพัดจะเป็น มีอิทธิฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศได้ สารพัดวิเศษ ฯลฯ ส่วนชาวพุทธกลุ่มที่ยึดหลักเหตุและผล มีความเป็นวิทยาศาสตร์ เชื่อในหลักปรัชญา พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์เป็นนักปราชญ์ ทรงสั่งสอนให้รับรู้อริยสัจสี่ เหตุแห่งทุกข์ วิธีปฏิบัติตนให้พ้นทุกข์ เมื่อพระองค์ดับขันธ์ อินทรี์ย์ที่หลงเหลือย่อมไม่ต่างไปจากมนุษย์เช่นเราทั้งหลาย ...



ภาพจาก Internet: Credit Wikipedia มหาสถูปพุทธคยา หลังบูรณะครั้งใหญ่ ค.ศ. 2006 โดยรัฐบาลอินเดีย

ศรัทธา เทิดทูน

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ไม่ห่างไกลจากเมืองพาราณสี (Benares) ณ จุดที่ตั้งวิหารพุทธคยา พระเจ้าฮูวิสกะ (Huvishka) ผู้เป็นราชบุตร และเสวยราชสมบัติต่อจากพระเจ้าขะนิสกะ (Kanishka) แห่งอาณาจักรคุชาน (Kushan) กำลังเดินตรวจงานก่อสร้าง คนงานท้องถิ่นกำลังรื้ออาคารและโครงสร้างสถูปเดิมสร้างโดยพระเจ้าอโศก (Asoka) ห่างออกไปมีอาคารโรงเรือนขนาดใหญ่ นายช่างกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยช่างศิลป์และช่างแกะสลักฝีมือดี คัดสรรมาจากเมืองมธุรา ปิชาวา ตักสิลา และคันทาระ รวมกันเป็นคณะใหญ่ ช่วยกันออกแบบอาคารสร้างใหม่ให้มีรูปทรงพีรามิดสี่เหลี่ยมทรงสูง ปลายยอดประดิษฐานพระสถูปยอดทองคำ บริเวณโดยรอบห่างออกไป คลุ้งไปด้วยฝุ่น ผู้คนจำนวนมากกำลังขนถ่ายอิฐดินเผาบรรทุกด้วยเกวียน ลงกองเรียงซ้อนกันบนพื้นดิน

          พระเจ้าฮูวิสกะเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ด้านทิศตะวันออก ประดิษฐานแท่นวัชระอาสน์ (Vajarasana) แกะจากก้อนหินอ่อนสีขาวนวล สลักลายนูนต่ำกลีบรูปดอกบัวและนกเป็ดรอบขอบตัวแท่น สร้างโดยคำสั่งพระเจ้าอโศก ณ จุดที่พระศากยมุนีนั่งทำสมาธิจนบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ

          เมื่อนึกถึงพระศากยมุนีศาสดาของศาสนาพุทธ ผู้ซึ่งได้เคยนั่งทำสมาธิจนบรรลุสัมโพธิญาณ ณ ที่นี้ ... ทำให้หวลคิดไปถึงพระมหาวีระ (Mahavira) ศาสดาของศาสนาเชน (Jainism) ร่วมสมัยเดียวกันกับพระศากยมุนี บรรลุโสดาบันเหมือนกัน ต่างแต่สถานที่และวิธีการ ... พระเจ้าอโศกเดิมนับถือศาสนาเชน สืบทอดตามบรรพบุรุษ เป็นลำดับเริ่มจากพระเจ้าพิมพิสาร (Bimbisara) แห่งกรุงราชคฤห์ จากแคว้นมคธเล็กๆ ในกลุ่มแว่นแคว้นลุ่มน้ำคงคา กลายเป็นอาณาจักรมคธยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวเหนือแคว้นทั้งหลายในสมัยพระเจ้าอชาติศัตรู (Ajatasatru) และยิ่งใหญ่มากขึ้นในยุคสมัยพระเจ้าจันทราคุป (Chandragup) จากนั้น ขยายอาณาจักรยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียมเท่าพระเจ้าอโศก

          เมื่อสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสาร หลังจากได้ชัยชนะเหนือแคว้นอังกะ (Anga) ผนวกเข้าเป็นอาณาจักรของแคว้นมคธ (Magada) สมความตั้งใจ บั้นปลายชีวิตพระองค์ทรงกระทำการละสังขาร อดอาหารอย่างช้าๆ เข้าสู่นิพพาน (Nirvana) ตามวิถีศาสนาเชน แต่พระเจ้าอชาติศัตรู (Ajatasatru) เมื่อได้รวบรวมแว่นแคว้นต่างๆ เข้ารวมเป็นอาณาจักรมคธหนึ่งเดียว มิได้ใส่ใจเข้าสู่นิพพาน ... จากนั้นมา มีแต่พระเจ้าจันทราคุป (Chandragupta) พระอัยยิกาของพระเจ้าอโศก ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โมริยะ ได้ทำสงครามกับนายทหารชาวกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช นาม Seleukos ซึ่งปกครองดินแดนตะวันออกของกรีก พระเจ้าจันทราคุปได้ขยายเขตอาณากว้างไกลจรดแดนแบคเตรีย (Baktria) เป็นที่ยอมรับของชาติตะวันตก ส่งทูตมาเจริญไมตรี เป็นที่เชิดหน้าชูตา ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นผู้วางรากฐานการปกครอง การเมือง การทูต เมื่อถึงวัยชราได้กระทำการเข้าสู่นิพพาน เพื่อเปิดโอกาสให้ราชบุตร พรเจ้าพินธุสาร (Bindhusara) ได้สืบและสร้างผลงานต่อ เนื่องจากพระองค์เต็มใจ ได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามวิถีของศาสนาเชน เช่นเดียวกับพระเจ้าพิมพิสาร โดยกระทำการอดอาหารเพื่อสู่นิพพานที่เมืองไมซอ (Mysore) ครั้นเมื่อพระเจัาอโศกผู้ซึ่งเป็นพระราชนัดดา ได้ครอบครองอาณาจักรแสนกว้างใหญ่ไพศาล กลับมีความคิดเช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู ไม่ใส่ใจเข้าสู่นิพพานตามวิถีศาสนาเชน

          พระเจ้าฮูวิสกะขยับเข้าไปใกล้ต้นโพธิ์เอื้อมมือไปลูบลำต้น พระศากยมุนีได้เคยปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติของศาสนาเชน อดอาหารจนร่างกายผ่ายผอมปางตาย มิได้บรรลุธรรมใดๆ หากยังคงฝืนปฏิบัติต่อไป รังแต่จะทำลายชีวิตตนเอง พระศากยมุนีทรงเห็นว่า ชีวิตมีค่า ต้องพยายามค้นหาต่อไป จึงละการปฏิบัติตามวิถีศาสนาเชน ทรงเปลี่ยนใจกลับมาเสวย เมื่อร่างกายฟื้นตัวแข็งแรงสมบูรณ์ ได้นั่งสงบใต้โพธิ์ใหญ่ต้นนี้
ทบทวนชีวิตจากประสพการณ์ต่างๆ ในอดีตที่พบผ่านมา ลำดับสาเหตุและผลที่เกิดตามมา วิเคราะห์ปัญหาต่างๆ รอบกาย ทบทวนกลับไปกลับมา ในที่สุดก็ค้นพบความจริง กฏของธรรมชาติ มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ลำดับที่มาที่ไปให้ถูกต้อง ทำใจให้เป็นกลาง ไม่โอนเอนตามแนวคิดความเชื่อของลัทธิใด เหตุต่างๆ เกิดจากการกระทำของตัวเรา ถ้ามีการกระทำย่อมก่อให้เกิดผล ดี หรือ ไม่ดี ตามมา หากไม่มีการกระทำย่อมไม่เกิดผลใดๆ เว้นแต่ความทุกข์จากการถูกกำหนด หรือ จำกัดสิทธิ์จากผู้อื่นเช่น ชั้นวรรณะ ฯลฯ การเข้าสู่นิพพานอยู่ที่การปฏิบัติชอบ ไม่ก่อเวร ไม่สร้างกรรม ...

          ปีที่แปดแห่งการครองราชย์ พระเจ้าอโศกได้ยกกองทัพลงใต้ไปปราบ แคว้นกะลึงคะ (Kalinga) ศัตรูคู่ขัดแย้งและเป็นอริเก่ามาแต่เดิม สมัยพระราชบิดาพระพินธุศาร (Bindhusara) ถูกต่อต้านจากชาวกะลึงคะ สู้รบล้มตายเสียหายหนักทั้งสองฝ่ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน พระเจ้าอโศกเป็นฝ่ายชนะ แต่หดหู่ ผู้เสียหายล้มตายล้วนเป็นชาวเมืองชาวบ้าน จากความชิงชังและความเคียดแค้นมาแต่อดีต อนาถใจ เสียใจมาก เป็นการกระทำสงครามครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของพระองค์ ทรงออกกฎให้ปกครองดูแลด้วยพระคุณ ละเว้นการกดขี่

          ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าอโศกได้หันมาสนใจหลักคำสอนของพระศากยมุนี เพราะมีความเหมือนในหลักการ แต่ยืดหยุ่นกว่าของพระมหาวีระในการปฏิบัติตน การดำรงชีวิต และวิถีแห่งนิพพาน หลักศาสนาของพระศากยมุนีอยู่กึ่งกลางระหว่าง ความเข้มงวดของศาสนาเชน และ ความเรียบง่ายของศาสนาฮินดู-พราหมณ์

          ผู้ที่ทำให้พระเจ้าอโศกเปลี่ยนจากการนับถือศาสนาเชน ไปนับถือศาสนาพุทธ คือ ท่านอุปะคุปตะ (Upagupta) แห่งเมืองมธุรา เป็นบุตรของท่านคุปตะ นักปรุงเครื่องหอมแห่งเมืองพาราณสี ได้นำพระองค์เสด็จธุดงค์เยี่ยมชมและรับรู้สถานที่ประสูติ ลุมพินีเป็นแห่งแรก จากนั้นเสด็จกรุงกบิลพัตร ที่ซึ่งพระศากยมุนีอาศัยอยู่ในวัยหนุ่ม กุสินารา ที่ปรินิพพาน สารานาท ที่ปฐมเทศนา สาวัตถี วัดที่ทรงจำพรรษาหลายปี และสุดท้าย คะยา ต้นโพธิ์ใหญ่ทรงตรัสรู้ ทุกสถานที่ดังกล่าวมา พระเจ้าอโศกได้ปลดปล่อยให้ชาวบ้านมีเสรีภาพ ทรงบริจาคเงินให้ทานแก่ผู้ทุกข์ยาก ทรงส่งช่างหลวงไปสร้างอนุสรณ์ศาสนสถาน เพื่อรำลึกคุณความดีของพระศากยมุนีในสถานที่แห่งนั้นๆ แต่โดยส่วนพระองค์ยังทรงยึดมั่นในหลักอหิงสา (Ahimsa) ของศาสนาเชน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียน มีเมตตา เอื้ออาทรต่อกัน ไม่เสวยเนื้อสัตว์ พระองค์ทรงเลื่อมใสและกำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นหลักในการปกครอง ในขณะเดียวกันทรงอุปถัมภ์ให้สิทธ์เสรีภาพในการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อของศาสนาอื่น อาทิ พราหมณ์-ฮินดู เชน โซโลแอสเตอร์

          พระเจ้าฮูวิสกะทรงครองราชย์ที่เมืองมธุรา ระหว่างปี พ.ศ. 694 - 733 มหาโพธิพุทธคยาแห่งนี้ สร้างและออกแบบโดยเหล่านายช่างเชื้อสายกรีกคันทาระ รูปแบบและโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมได้เป็นต้นแบบ และเป็นแบบอย่างให้โบสถ์ในศาสนาเชนและศาสนาฮินดูยึดถือเป็นแม่แบบจวบจนถึงทุกวันนี้ ที่สำคัญ คือ เทคนิคการก่ออิฐสอปูนซีเม็นต์ได้รับและถ่ายทอดมาจากเทคโนโลยีของชาวโรมันในสมัยนั้น ซึ่งปัจจุบันนี้ Unesco ได้ประกาศให้เป็นโบราณสถานที่ก่ออิฐได้มั่นคงแข็งแรง ดีที่สุดในโลกตะวันออก




ศรัทธา งมงาย

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ห่างไกลเมืองพาราณสี ในพุ่มไม้ใกล้ชายป่าใหญ่มีเนินดินลักษณะเหมือนฐานของซากสถูปเจดีย์โบราณ ข้างๆ มีเพิงไม้คลุมด้วยผ้าใบกันแดด ปลูกคร่อมพื้นดินที่ถูกตีเป็นบล๊อคตารางสี่เหลี่ยม กั้นด้วยเสาไม้ไผ่สูงหนึ่งเมตร ทุกมุมของบล๊อคสี่เหลี่ยมถูกขึงปลายเสาด้วยเส้นเชือก กั้นมิให้ผู้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวของเข้าไปในบริเวณขุดค้น ในแต่ละบล๊อคมีเจ้าหน้าที่โบราณคดีนั่งขุดคุ้ยหาวัตถุสิ่งของ คนงานหลายคนเดินหิ้วถังดินจากการขุดออกมากองทิ้งใว้ภายนอก

          ใกล้ๆ มีเต๊นท์ขนาดใหญ่ ภายในมีเจ้าหน้าที่หลายคนกำลังบรรจุวัตถุจากการขุดค้นลงในลังไม้ขนาดเขื่องสองคนหาม มุมหนึ่งของเต๊นท์ เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสนายหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการตรวจสอบวัตถุดินเผาทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองนิ้ว หนาครึ่งนิ้ว ด้านหน้าพิมพ์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยกระหนาบข้างด้วยพระโพธิสัตว์ ด้านหลังมีอักขระสิทธรรม (เทวะนาคีโบราณ) จารึกคาถา เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา เหตุ เตสํ ตถาคโต เตสญฺ โยนิโรโธ วาที มหาสมโณ ความว่า ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงเหตุเหล่านั้น เมื่อสิ้นเหตุจึงดับทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าพร่ำตรัสสอนเช่นนี้เสมอ ขนลุก เหมือนเห็นพระพุทธเจ้าเทศนาธรรมอยู่เบื้องหน้า กำลังทึ่งอยู่กับพระพิมพ์ ... คนขับรถประจำโครงการขุดค้นนี้ เดินเข้ามาหาและบอกว่า พร้อมเดินทาง เขาจึงรีบเขียนบนซองกระดาษสีน้ำตาลด้วยปากกาเมจิก ถึงห้องปฏิบัติการ ช่วยตรวจสอบอ่านหาอายุของพระพิมพ์ แล้วบรรจงห่อด้วยแผ่นพลาสติกลูกฟูก ใส่ในซองกระดาษสีน้ำตาลดังกล่าวแล้วปิดผนึก มอบให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดส่งที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้น เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสผู้นี้ได้เดินออกจากเต๊นท์พร้อมกับคนขับรถตรงไปยังรถยนต์นั่ง เพื่อส่งเขาไปต่อรถประจำทางเข้าเมือง เพราะบ่ายมากแล้ว

          ที่สถานีขนส่งระหว่างรอรถโดยสารประจำทาง เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสผู้นี้ เดินเกร่ไปมา มองนั่น ดูนี่ ที่มุมขายพระเครื่อง มีแผงพระวางเรียงรายเสนอขายสารพัดเครื่องรางของขลัง ชายหนุ่มใหญ่และหนุ่มน้อย ห้อมล้อมมุงดูคนอวดพระเครื่องที่แขวนอยู่ที่คอ บ้างยืนส่องพระพิมพ์ บ้างจ้องมองวัตถุในกล่องกระจกบนโต๊ะ ฟังผู้ขายบรรยายสรรพคุณคงกระพัน เสน่ห์มหานิยม ทำมาค้าขึ้น สารพัดอวดอ้าง ...

          รถประจำทางเข้ามาเทียบท่าสถานีขนส่ง ผู้ชายกลุ่มใหญ่เหล่านั้น ต่างทะยอยออกจากแผงพระเครื่อง เดินขึ้นรถโดยสารหาที่นั่งตามอัธยาศัย เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสเป็นคนสุดท้าย จึงได้เบาะที่นั่งยาวท้ายรถ

          รถประจำทางออกจากท่ามุ่งหน้าเข้าเมืองไปตั้งนาน ยังไม่วายได้ยินเสียงพูดคุยอวดอ้างคุณค่าราคา ความขลังของพระเครื่อง ความภาคภูมิใจได้ครอบครองของดี เกจิอาจารย์ ฯลฯ

          ทุกครั้งที่รถเลี้ยว ผู้โดยสารนั่งท้ายรถจะรู้สึกแกว่งเหวี่ยงไปมาน่าเวียนหัว เมื่อมองดูนาฬิกาข้อมือยังอีกหลายชั่วโมง หนทางยังอีกไกล เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสเอนหลังพิงพนัก หลับตาปล่อยจิตใจให้ว่างหวังนอนหลับสักงีบ แต่ใจให้หวลคิดกลับไปที่พระพิมพ์ดินเผาองค์นั้น ภาพพระพุทธเจ้าปรากฏในภวังค์ เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา ความดีความชั่วต่างๆ ล้วนมาจากเหตุ คาถานี้ เตือนให้ดำรงชีวิตอย่างมีสติ ... ทำไมคนทั้งหลายกลับตีความเป็นอื่น ลุ่มหลง งมงาย แปลงหลักคิดเป็นคงกระพัน เสน่ห์มหานิยม หรือเป็นเพราะความเห็นแก่ได้ของเหล่าพระสงฆ์ ผู้ซึ่งนิยมสะสมเงินทอง ก่อให้เกิดพุทธพาณิชย์ คิดไปก็น่าขัน ตัวเราเป็นถึงนักวิชาการโบราณคดี รู้ดีแต่เฉพาะพระเครื่องที่เหล่าเซียนพระเรียกว่าพระกรุ คือ เหล่าพระเครื่องที่ฝังเก็บอยู่ในเจดีย์ ไหดินเผา หม้อดิน ฯลฯ ที่ได้จากการขุด ส่วนที่เรียกว่าพระเกจิอาจารย์ ยอมรับว่าไม่รู้จัก บ่อยครั้งเพื่อนสนิท คนใกล้ชิด นำพระเครื่องมาให้ตรวจความเป็นของแท้หรือปลอม ต้องโบ้ยให้ไปที่ตลาดพระ หรือ แผงขายพระเครื่อง เรียนมาหลายปีมีหลายปริญญา แต่ไม่เก่งเท่าเซียนพระ จากไหนก็ไม่รู้ แค่ส่องกล้องก็คุยสรรพคุณได้เป็นตุเป็นตะ กำลังคิดไปเพลินๆ ได้ยินเสียงโครมใหญ่จากหน้ารถ ขณะเดียวกันรู้สึกถูกเหวี่ยงไปกระทบกับพนักหลังเบาะที่อยู่ข้างหน้าอย่างแรง

          มีเสียงพูดอยู่ข้างกาย ลืมตาแล้ว ... ตื่นแล้ว ... พยายามลืมตามองไปยังเสียงพูด เห็นเงาคนลางๆ พยายามกระพริบตาหลายครั้ง เพราะแสงจากหลอดไฟฟ้าเพดานทำให้ตาฝ้าต้องค่อยๆ หรี่ตามอง พอจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ งงไปหมด นี่ตัวเรานอนอยู่ที่ไหน

          มีเสียงพูดจากนางพยาบาล คุณนอนสลบไสลอยู่หนึ่งวันจากอุบัติเหตุรถประจำทางชนประสานงากับรถพ่วงบรรทุกหินบนทางหลวงระหว่างทางเข้าเมือง เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล รู้สึกร่างกายปวดระบม ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองไปรอบๆ เป็นห้องคนไข้รวม ข้างๆ มีคนไข้จำนวนมากร่างกายแขนขาศีรษะพันผ้ากอซนอนอยู่บนเตียง มีนางพยาบาลและบุรุษผู้ช่วยพยาบาลหลายคน กำลังสาละวนอยู่กับคนไข้ ... หันมาสำรวจตัวเอง ไม่มีผ้าพันแผลใดๆ แต่มีรอยฟกช้ำเป็นแห่งๆ

          อุบัติเหตุครั้งนี้รุนแรงมาก คนขับรถทั้งสองคันและผู้โดยสารหลายคนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จำนวนมากอาการสาหัสยังคงนอนรักษาตัวอยู่ในห้องฉุกเฉิน เฉพาะคนไข้ที่นอนอยู่โดยรอบเหล่านี้ แพทย์ระบุว่าปลอดภัย

          บุรุษพยาบาลสองคนเดินเข้ามาหา ตื่นแล้วหรือ โชคดีจัง คุณเป็นผู้เดียวไม่เป็นอะไรเลย ไม่เห็นแขวนพระสักองค์ เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสผู้นี้ยิ้มที่มุมปาก ส่ายหน้าแทนคำตอบว่าไม่มี ... ในใจคิดจะตอบแต่เกรงใจ พระของผมอยู่ทุกแห่ง ที่ใจ ที่บ้าน ทั่วไปที่ขุดพบ และ ที่ยังไม่พบ ...



ภาพจาก Internet: Credit The Avery Brundago Collection.

ศรัทธา ละโมบ

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในที่ห่างไกลเมืองพาราณสี บริเวณขุดค้นทางโบราณคดีใกล้เนินดินลักษณะเหมือนฐานของซากสถูปเจดีย์โบราณ ใกล้ๆ มีเต๊นท์ขนาดใหญ่ ภายในมีเจ้าหน้าที่โบราณคดีหลายคนกำลังช่วยกันขยับวัตถุขนาดใหญ่ลักษณะเป็นพระพุทธรูปศิลาสีดำจากการขุดค้น กว้างสิบห้านิ้ว สูงยี่สิบห้านิ้ว หนักกว่าร้อยกิโลกรัม ยกขึ้นตั้งบนแผ่นไม้ จากนั้นเจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสนายหนึ่งใช้แปรงขัดโดยรอบ เผยให้เห็นองค์พระพุทธรูปปางมารวิชัยชัดเจนขึ้น ทรงประทับนั่งบนบัวหงายบัวคว่ำปูทับบนฐานสิงห์ ใต้ปรกโพธิ์ข้างบน มีอักขระจารึกภาษาโบราณสิทธรรมรอบประภามณฑลหลังพระเศียร คาถา เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา เหตุ เตสํ ตถาคโต เตสญฺ โยนิโรโธ วาที มหาสมโณ ความว่า ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตได้ตรัสถึงเหตุเหล่านั้น เมื่อสิ้นเหตุเหล่านั้น จึงดับทุกข์ได้ พระมหาสมณะมีวาทะตรัสสอนเช่นนี้เสมอ หลายคนยืนเพ่งมองไปที่องค์พระพุทธรูปศิลาสีดำ เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสผู้นั้น ยังคงใช้แปลงขนอ่อนปัดไปมาที่รอยจารึกอักขระ ทำให้ร่องอักขระมองเห็นชัดขึ้น และเป็นที่น่าสังเกต เข็มบอกเวลาวินาฑีของนาฬิกาข้อมือหยุดนิ่งเมื่อเข้าไปใกล้ หากขยับถอยห่างออกมากลับเดินเป็นปรกติ สร้างความอัศจรรย์แก่ทุกคนในเต๊นท์ ต่างยื่นข้อมือที่ผูกนาฬิกาขยับไปมากับองค์พระพุทธรูปศิลาสีดำ บางคนถอดนาฬิกาออกวางไว้บนปรกโพธิของพระศิลา เข็มของนาฬิกาทุกเข็มหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

          เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสผู้นี้ค่อยๆ ละจากแปลงขนอ่อน ถอยออกมานั่งไม่ห่างจากองค์พระพุทธรูปศิลาสีดำด้วยอาการเชื่องช้า เพราะยังรู้สึกปวดขัดยอกจากอุบัติเหตุทางถนน รถประจำทางชนกับรถพ่วงบรรทุกหิน พูดเปรยว่า พระพุทธรูปศิลาองค์นี้ สลักจากหินอัคนี Basalt สีดำเนื้อละเอียดมีแร่เหล็กเจือปนอยู่มาก ขุดพบมาก็มาก แต่องค์นี้แปลกกว่า เพราะมีความเป็นแม่เหล็ก พลังสนามแม่เหล็กแรง เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนๆ ทุกคนเห็นพ้องด้วย เจ้าหน้าที่ฯ นายหนึ่งหยิบเข็มทิศส่งมาให้ เขาหยิบเข็มทิศยื่นเข้าไปใกล้องค์พระพุทธรูปศิลา เข็มทิศขยับชี้เข้าหาองค์พระ ขยับไปมาก็กระดิกไปมา จึงจับเข็มทิศลูบจากด้านบนปรกโพธิ์แนบผิวของศิลาลงมาจรดที่ฐาน ปรากฏว่าเข็มทิศชี้เหนือใต้สลับไปมาระหว่างที่ลูบผ่าน เหมือนการทำงานของเทปบันทึกสัญญาณภาพ หรือ สัญญาณเสียง บนแถบเทปผงเหล็ก เช่น เทปบันทึกภาพ หรือ เทปบันทึกเสียง ... มีอะไรบันทึกอยู่ในตัวพระพุทธรูปศิลาดำองค์นี้ ...

          เป็นที่โจษขานของทุกคน จากกุลีคนงานขุดดินรับรู้ไปถึงที่ทำงานกรมโบราณคดี และแล้ว สิ่งที่ไม่คาคคิดก็เกิดขึ้น พระพุทธรูปศิลาสีดำองค์นี้ได้หายไประหว่างการขนส่งให้กรมโบราณคดี มีการแจ้งความ สอบสวนทุกคนจากคนงานขุดดินถึงเจ้าหน้าที่ฯ โครงการทุกคน

          การขุดค้นถูกควบคุมเข้มงวดมากขึ้น สิ่งของทุกชิ้นที่ขุดพบต้องบันทึกภาพถ่ายในที่ตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้น ส่งบันทึกเพียงรายการ ลักษณะ ระบุขนาด กว้าง ยาว สูง และ น้ำหนัก ระบุจุดตำแหน่ง ระดับความลึก ประกอบแผนผังไปกับตัววัตถุ การถ่ายภาพเป็นหน้าที่ของกรมฯ แต่คราวนี้ต้องส่งภาพถ่ายและรายการที่ได้ขุดพบทันทีถึงกรมฯ วันต่อวัน

          เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโส ยังรู้สึกปวดเมื่อยจากอุบัติเหตุ นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อรับสัญญาณอินเตอร์เน็ต สืบค้นเนื้อหา คลื่นแม่เหล็ก พลังแม่เหล็ก คลื่นสมอง และไปสะดุดที่ Telepathy การติดต่อสื่อข้อความด้วยคลื่นสมองของสรรพสัตว์

          มีบันทึกเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาล เกิดอัศจรรย์ วันมาฆบูชา พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน 1,250 รูป จากที่ต่างๆ ห่างไกลกันมาก มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ พร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย แสดงว่าคนโบราณรู้วิชา Telepathy สื่อสารถึงกันด้วยคลื่นสมองผ่านอากาศ พื้นน้ำ พื้นดิน และ มีพลังคลื่นสมองสูงมากพอที่จะบันทึกลงในสื่อแม่เหล็ก เช่นในองค์พระพุทธรูปศิลาสีดำที่ได้หายไป

          วันนี้เป็นวันหยุด เจ้าหน้าที่ฯ ทุกคนได้นัดหมายรวมตัวกันเดินทางเข้าไปพักผ่อนในเมือง ระหว่างเดินทางกลับในบ่ายวันนั้น เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโส เห็นภาพรางๆ ของพระพุทธรูปศิลาสีดำองค์นั้น เบื้องหน้าค่อยๆ ชัดขึ้น เริ่มมีอาการปวดหัวไมเกรน ผะอืดผะอมอยากอาเจียน จึงสั่งให้หยุดรถ จากนั้นรีบเดินชิดเข้าข้างทางทันที

          ข้างทางเป็นบ้านไม้ห้องแถวปลูกติดกันยาวหลายห้อง มีห้องหนึ่งหน้าบ้านมีรถบรรทุกจอดอยู่ ภายในบ้านมีชายสามคนกำลังกุลีกุจอบรรจุสิ่งของลงลังไม้ขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโสหายปวดไมเกรนทันที รีบหันมาโบกมือเรียกพรรคพวกให้เข้ามา ทันที่เมื่อเข้าไปถึง มองเห็นพระพุทธรูปศิลาสีดำตั้งอยู่ที่พื้นรวมอยู่กับพระพุทธรูปบูชาสำริดอีกหลายองค์

          เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถูกเรียกให้เข้าจับกุม ดำเนินคดีนายทุนนักค้าโบราณวัตถุ คนขับรถและเจ้าหน้าที่ธุรการของกรมโบราณคดี ส่งฟ้องศาล ส่วนชายสามคนนั้น เป็นเพียงลูกจ้างบริษัทขนส่งพัสดุทางทะเล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจรกรรม

          เมื่อเสร็จภาระกิจ ได้ขุดพบโบราณวัตถุจำนวนมาก โดยเฉพาะพระพิมพ์ดินเผาทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองนิ้ว หนาครึ่งนิ้ว พิมพ์พระพุทธรูปปางมารวิชัยกระหนาบข้างด้วยพระโพธิสัตว์ ด้านหลังมีอักขระโบราณจารึกคาถา เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา... จำนวนสี่สิบสี่องค์ อธิบดีกรมโบราณคดี พอใจผลงานของเจ้าหน้าที่ฯ ขุดค้นชุดนี้ทุกคน จึงมอบพระพิมพ์ดินเผาดังกล่าวให้เป็นรางวัลคนละหนึ่งองค์ ส่วนพระพิมพ์ดินเผา ที่เหลือเก็บเข้าบัญชีเป็นสมบัติของชาติต่อไป

          ที่บ้านพัก เจ้าหน้าที่โบราณคดีอาวุโส หยิบพระพิมพ์ดินเผาที่ได้รับขึ้นมาดู พลิกไปมา พึมพำ เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา... ความดี ความไม่ดี ต่างๆ ล้วนมาจากเหตุแห่งการกระทำ ท่านเตือนเราให้ครองตนอย่างมีสติ รู้จักพิจารณา ... จากนั้น ใส่ในตลับพลาสติกเก็บรวมกับพระเครื่องและพระพิมพ์องค์อื่นๆ



นิพพาน อยู่หนใด

          กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ณ ชายฝั่งทะเลเมืองมธุรา พนักงานชายสามนายของบริษัทขนส่งโลจิสติคแห่งหนึ่ง ต่างกุลีกุจอขนสิ่งของเครื่องใช้ น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำจืด อาหารแห้ง และอาหารสำเร็จรูป ลงเรือเร็วติดเครื่องท้ายลำเล็กสำหรับขนส่งสินค้า นำส่งไปยังประภาคารกลางทะเล ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งประมาณสองร้อยกิโลเมตร

          เขาเหล่านี้ร่วมมือทำงานเข้าขากันได้อย่างคล่องแคล่ว ร่วมกันทำหน้าที่รับส่งสิ่งของไปยังประภาคารดังกล่าวทุกๆ สัปดาห์ ต่างคุ้นเคยกับงานและมีประสพการณ์เป็นอย่างดีมากกว่าห้าปี

          วันนี้อากาศแจ่มใสคลื่นลมสงบ เมื่อทุกอย่างพร้อม ผู้อาวุโสของกลุ่มให้ออกเดินเรือ ตนทำหน้าที่ควบคุมเครื่องยนต์ คัดท้ายหางเสือมุ่งไปยังประภาคาร ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ห้อมล้อมด้วยแนวหินโสโครกที่อาจจะเป็นอันตรายต่อการเดินเรือสมุทรถ้ามีพายุ เมฆหมอก หรือ ยามค่ำคืน

          เรือยนต์เร็วติดเครื่องท้ายบรรทุกสัมภาระพร้อมลูกเรือได้เดินทางฝ่าคลื่นลมปรกติมาได้ครึ่งทาง มองเห็นประภาคารสีขาวลางๆ แต่ไกล พลันก็มีหมู่เมฆก่อตัวขึ้นบดบังแสงอาทิตย์ทำให้อากาศเริ่มขมุกขมัว ลมพัดกระโชกมาเป็นระยะ คลื่นทะเลเริ่มกระเพื่อมกระทบลำเรือก่อให้เกิดน้ำกระเซ็นสาดขึ้นมา เขาทั้งสามต่างลังเลว่าจะหันเรือกลับขึ้นฝั่ง หรือ เร่งรีบเดินหน้าต่อไปให้ถึงที่หมายโดยเร็ว มาได้กว่าครึ่งทางทั้งสามไม่พูดพล่ามให้เสียเวลา ต่างคนต่างจัดแจงสวมชุดเสื้อยางสีเหลืองกันน้ำและเครื่องชูชีพ จากนั้นเร่งเครื่องยนต์เรือมุ่งไปยังที่ตั้งของประภาคาร

          ลมทะเลพัดรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ลูกคลื่นก็กระเพื่อมสูงขึ้นกระทบลำเรือทำให้เป๋ไปมา ผู้อาวุโสซึ่งทำหน้าที่เป็นนายท้ายเรือต้องพยายามคัดท้ายให้เรือหันหัวเข้าสู้คลื่น มิเช่นนั้น หากคลื่นกระทบด้านข้างของเรือจะทำให้คว่ำได้ การที่บังคับให้เรืออยู่เหนือเกลียวคลื่นได้นั้น ต้องเร่งเครื่องยนต์เรือรอบจัดสุดเพื่อให้มีกำลังดันหัวเรือให้สู้คลื่นทะเล ก่อให้เกิดตวามร้อนที่เครื่องยนต์ น้ำมันเครื่องเริ่มหนืดและแห้ง ในที่สุดเครื่องยนต์เรือดับลง เรือเริ่มหมุนคว้างตามแรงคลื่น สร้างความระส่ำให้กับลูกเรือทั้งสาม พยายามสตาร์ทติดเครื่องยนต์หลายครั้ง เครื่องไม่ยอมติดเพราะลูกสูบบวมติดขัดในเสื้อสูบ

          น้ำทะเลเริ่มกระเซ็นเข้าลำเรือ การที่จะทำให้ลำเรือลอยขึ้นเหนือเกลียวคลื่นได้ดีต้องลดน้ำหนักบรรทุกของเรือ จึงตัดสินใจช่วยกันปลดเครื่องยนต์ทิ้งลงทะเล ซึ่งก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง จากนั้นช่วยกันพายด้วยไม้พาย ซึ่งในเรือมีเพียงสองไม้พายเท่านั้น สองผู้อ่อนอาวุโสต้องรับหน้าที่ช่วยกันจ้ำพายอย่างสุดแรง ส่วนผู้อาวุโสประจำที่ท้ายเรือ กุลีกุจอตักวิดน้ำทะเลที่กระเซ็นเข้ามาในลำเรือ ในภาวะคลื่นลมแรงเช่นนี้ เรือจะต้องมีน้ำหนักเบาที่สุด การจะปลดทิ้งสิ่งของที่บรรทุกมาก็ใช่ที่ เพราะสิ่งของเหล่านี้หมายถึงการได้อยู่ทำหน้าที่ของผู้ควบคุมประภาคาร ให้สัญญาณไฟแก่การเดินเรือสมุทรที่ผ่านไปมา เดินเรือออกห่างมิให้ชนหินโสโครก

          เวลาผ่านไปแต่ละคนทำหน้าที่จ้ำพายและวิดน้ำจนเหนื่อยอ่อน คลื่นลมและพายุมิได้อ่อนแรง ฟ้ายังคงมืดครึ้ม โดยรอบมีแต่แสงสลัว เรือโครงเครงด้วยแรงคลื่นและเสียงอื้ออึงของลมทะเลรอบข้าง กลบเสียงหายใจเหนื่อยหอบของแต่ละคน สร้างความท้อแท้แก่ผู้อาวุโส ตราบใดที่เรือยังมีน้ำหนักเช่นนี้ คงยากที่จะรอดจากการพลิกคว่ำ วิดน้ำไปไตร่ตรองไป ตัวเรามิได้ช่วยพายสู้แรงคลื่น น้ำหนักตัวของเรานี่แหละเป็นตัวถ่วงน้ำหนัก ถ้าปราศจากน้ำหนักนี้ได้คงดี ชีวิตของใคร ใครก็รัก ชีวิตมีค่า ทุกคนย่อมอยากมีชีวิตอยู่รอด แต่เขาทั้งสองยังหนุ่มแน่นสมควรมีชีวิต หากอยู่ต่อไปจะยังประโยชน์ได้อีกเยอะ ส่วนตัวเราอายุก็มากแล้ว อยู่ต่อไปกำลังวังชามีแต่ถดถอยน้อยลง สุดท้ายชีวิตก็ไรัค่า หากจะอุทิศเวลาของชีวิตที่เหลือนี้ ได้ต่ออายุให้ผู้อื่นมีชีวิตอยู่ทำคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมย่อมเป็นการดี...

          คลื่นลมค่อยๆ สงบลง เรือเคลื่อนที่มุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงสองฝีพายใกล้ที่หมาย ทั้งสองต่างตะโกนบอกด้วยความลิงโลดเมื่อมองเห็นประภาคารสีขาวอยู่ใกล้ข้างหน้าในม่านหมอกของคลื่นลม

          ไม่มีเสียงขานตอบจากท้ายเรือ ว่างเปล่าผู้อาวุโสหายไปไหน ตกทะเลหรือ? ทั้งคู่หยุดพาย ตะโกนเรียกหา สอดส่ายสายตามองหารอบข้างไม่เห็น มีแต่น้ำทะเลกระเพื่อมไปมา ข้างหน้ามีแต่โขดหินโสโครกใหญ่น้อยตั้งอยู่ระเกะระกะ

          ไม่มีวี่แววที่จะพบร่างผู้อาวุโส ทั้งคู่รู้สึกหดหู่ เศร้าใจ ค่อยๆ จ้ำพายเรือเข้าไปตามโตรกหินด้วยความระทดระทวยอ่อนแรง มุ่งไปยังท่าเทียบเรือลำลองหน้าประภาคารเพื่อขนถ่ายสิ่งของ ณ ที่นั้น ผู้ควบคุมประภาคารกำลังยืนรอเพื่อช่วยขนสิ่งของขึ้นเก็บ

          เมื่อทั้งสามได้ช่วยกันขนสิ่งของขึ้นที่เก็บจนแล้วเสร็จ ได้นั่งดื่มกาแฟ พูดคุยเล่าเรื่องภัยพิบัติของคลื่นลมทะเลระหว่างทางที่เพิ่งผ่านมาด้วยความอาลัยผู้อาวุโส จากนั้น ทั้งสามได้ไปยืนรวมกันที่หน้าต่างชั้นบนของประภาคาร หันหน้ามองไปยังทะเลเบื้องทิศตะวันตก ยืนไว้อาลัยรำลึกถึงผู้อาวุโสผู้ล่วงลับในทะเล อธิษฐานขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ

          บัดดลนั้น เบื้องหน้าคนทั้งสามบังเกิดแสงสว่างสีขาวนวลเล็ดลอดส่องออกมาจากกลุ่มเมฆ เป็นลำพุ่งลงมากระทบพื้นน้ำทะเลที่กำลังลดความปั่นป่วนจนพื้นน้ำค่อยๆ สงบเรียบ เกิดความสว่างสดใสไปทั่วดั่งฟ้าหลังฝน จากนั้นปรากฏดวงตะวันสีแดงสดใส ทอแสงสีทองอ่อน ค่อยๆ เคลื่อนลดต่ำลงสู่ขอบฟ้าจมหายไปในทะเล เหลือแต่แสงสว่างสีส้มอ่อนรางๆ เกาะปลายขอบฟ้า ฝูงนกนางนวลทะเลบินเกาะกลุ่มเป็นหมู่ ทะยอยเข้ามาใต้ประภาคารเพื่อจับจองที่พักหลับนอน ... พลบค่ำแล้ว

          สมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสาร บั้นปลายชีวิตพระองค์ทรงละสังขาร ด้วยวิถีของศาสนาเชน ค่อยๆ อดอาหารเข้าสู่ภาวะนิพพาน (Nirvana) เปิดทางให้พระเจ้าอชาติศัตรู (Ajatasatru) ได้สืบทอดอำนาจรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆ เข้ารวมเป็นอาณาจักรมคธยิ่งใหญ่หนึ่งเดียว

          พระเจ้าจันทราคุป (Chandragupta) พระอัยยิกาของพระเจ้าอโศก ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์โมริยะ หลังจากขยายอาาณาจักร์กว้างไกล ได้กระทำการละสังขาร อดอาหารสู่นิพพาน เพื่อเปิดโอกาสให้ พระเจ้าพินธุสาร (Bindhusara) ผู้เป็นราชบุตรได้สืบทอดพระราชอำนาจ สร้างผลงานตามวิถีของศาสนาเชน





จริต ตัณหา ละโมบ

          กาลครั้งหนึ่งไม่นานมากนัก ณ ชายขอบกรุงพาราณสี มีเมืองเล็กๆ กลางป่าใหญ่ในหุบเขา เป็นชุมชนระดับอำเภอขนาดเล็ก ประกอบด้วยประชากรหลายชนเผ่าอาศัยอยู่ในชนบทเขตภูเขารอบนอกห่างไกลไร้การศึกษา ส่วนผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอ เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา จึงเป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอ สถานีตำรวจ โรงพยาบาล สถานที่ราชการ โรงเรียน สาธารณะสถาน ตลาด ห้างร้านต่างๆ ฯลฯ

          ณ ที่แห่งหนึ่งไม่ไกลจากตัวอำเภอมากนัก มีกระต๊อบมุงหลังคาใบจาก ลักษณะซอมซ่อภายใต้ต้นไทรใหญ่ชายขอบป่าข้างทุ่งนาของชาวบ้าน ในร่มเงาใต้ต้นไทรนี้ มีผู้ทรงศีลชราในชุดนุ่งห่มปอนๆ ด้วยเสื้อผ้าเก่าสีขาวค่อนข้างคล้ำดั่งสีขี้เท่า นั่งบนขอนไม้ยาว พูดคุยอยู่กับชายวัยกลางคนนั่งบนท่อนไม้ตัดเป็นท่อนขนาดพอดีนั่ง

          ในอดีต ชายชราผู้ทรงศีลผู้นี้เป็นชาวเมืองพาราณสีได้เคยบวชเรียนในพุทธศาสนา จำวัดในตัวอำเภอแห่งนี้ ปฏิบัติตนอยู่ในศีลและเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย เป็นพระนักพัฒนา ปฏิบัติตนเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน เป็นที่ยอมรับและได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส

          อยู่มาวันหนึ่ง ชาวบ้านและชาวเขาได้รวมตัวกันมาร้องเรียนเจ้าอาวาสผู้นี้ว่า มีพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งนำกลุ่มคนนอกพื้นที่เข้ามาตัดไม้หวงห้ามในเขตป่าต้นน้ำ อ้างว่าได้รับอนุญาตนำไม้ไปสร้างสำนักสงฆ์ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวเขาและกลุ่มชาวบ้านเหล่านี้เป็นอย่างมาก จึงได้พากันไปร้องเรียนกับนายอำเภอ และแจ้งความที่สถานีตำรวจประจำอำเภอ ร้อยเวรรับเพียงลงบันทึกประจำวัน ต้องขอออกไปตรวจสอบให้รู้แน่ชัดก่อน เวลาล่วงเลยไปหลายเดือนเรื่องเงียบหาย ไม้เศรษฐกิจมีค่าถูกแปรรูปและขนออกนอกพื้นที่ในยามค่ำคืน เมื่อทางการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเพิกเฉย ชาวบ้านและชาวเขาเหล่านี้ต้องมาหาที่พึงสุดท้าย คือ ผู้นำทางจิตวิญญาณ

          เจ้าอาวาสผู้นี้มิได้นิ่งนอนใจ ได้ขอเข้าพบเพื่อไถ่ถามติดตามเรื่องจากนายอำเภอ ผลของคำตอบที่ได้ คือ ตนเป็นผู้น้อย ทำอะไรไม่ได้เพราะนายขอมา จวบกับตนได้อยู่ประจำการครบวาระ และ จะได้ย้ายไปรับตำแหน่งที่สูงกว่า จึงใคร่ขอความเห็นใจเจ้าอาวาสช่วยปล่อยวาง และ ขอให้เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ ตัวเราคือผู้ทรงศีล ต้องไม่ขัดขวางโชคและลาภยศของผู้ใด แล้วชาวบ้านชาวเขาละ ป่าเขาต้นน้ำคือชีวิต หากถูกทำลาย นาข้าวจะเอาน้ำมาจากไหน ข้าวทุกเมล็ดมีกินในบาตรล้วนมาจากนาข้าวของเขาเหล่านั้น ถ้าสิ้นผู้อุปถัมภ์ไร้คนใส่บาตร คงยากที่จะสืบศาสนา...

          เจ้าอาวาสหงุดหงิดใจ ครุ่นคิดปัญหาเรื่องร้องเรียนดังกล่าวนี้อยู่หลายวัน ในที่สุดตัดสินใจนั่งรถประจำทางเข้าเมือง ร้องเรียนเจ้าเมือง... จากนั้นมา เจ้าอาวาสเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในกุฏิ รับกิจนิมนต์เป็นครั้งคราวไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใด

          อยู่มาวันหนึ่งในฤดูฝนปีถัดมา ฝนตกชุกมากเกิดน้ำหลากท่วมที่อยู่อาศัยของชุมชนและที่นาของชาวบ้าน สิ่งที่มากับน้ำหลาก ลำต้นซุงขนาดใหญ่และปีกไม้จำนวนมาก พร้อมทรายกรวดและดินโคลนไหลเข้ามากลบท่วมนาข้าวเรือกสวนไร่นา สร้างความเสียหายแก่ภาคเกษตรกรรม ชาวบ้านชาวนาและชาวไร่ ผู้ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้ รวมตัวเข้าชื่อร้องทุกข์ขอรับความช่วยเหลือจากทางการ

          ผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักได้เข้ามาทำรายงานข่าว เจ้าอาวาสจึงถือโอกาสนี้ นำผู้สื่อข่าวทั้งหลายลงพื้นที่ถ่ายทำภาพยนตร์และบันทึกรายงาน จากนั้นได้นำไปยังต้นน้ำ ป่าเสื่อมโทรมจากการถูกลำลาย กลายเป็นข่าวใหญ่โต ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดถูกตั้งกรรมการสอบสวนจากส่วนกลาง ไม่นานนัก ปรากฏมีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ เจ้าอาวาสถูกจับสึกจากเพศบรรพชิต และถูกส่งฟ้องศาลฐานมีไม้แปรรูปไม่ได้รับอนุญาตเก็บซุกซ่อนไว้ในบริเวณวัด ความผิดไม่ได้ก่อ ถูกยัดเยียดกลั่นแกล้ง ในที่สุดศาลสั่งยกฟ้อง

          น่าเศร้า.. พระภิกษุชราแก่พรรษาบรรพชามานาน ความรู้มีแต่ท่องมนต์และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ย่อมเป็นการยากที่จะไปประกอบอาชีพเฉกเช่นคฤหัสถ์ หรือจะไปเป็นครูสอนศีลธรรมก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ครั้นจะกลับไปบวชใหม่ก็ละอายแก่ใจ เพราะอายุมากแล้วไม่สมควรเกาะผ้าเหลืองเพื่อยังชีพ อนาจใจ... ชาวบ้านในระแวกนั้นได้ช่วยกันปลูกกระต๊อบให้พักอาศัยที่ปลายนา หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกผักสวนครัวแบ่งปันกันกิน ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในระแวกบ้านแถวนั้น ความที่ได้เคยปวารณาตนจะยึดมั่นแต่ในศีล แม้นจะถูกปลดเปลื้องผ้าเหลือง ใจยังคงยึดมั่นและเพื่อเป็นการบังคับใจให้อยู่ในศีลต่อไป จำต้องนุ่งห่มขาวเพื่อบังคับและเตือนตนให้ระวังจิตพึงสำรวม

          ส่วนชายวัยกลางคนเป็นชาวบ้านในท้องถิ่นนี้ ประกอบอาชีพค้าปลีก ขายสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งร้านค้าในห้องเช่าใกล้โรงเรียนประจำอำเภอ ทุกวันพุทธเขาจะเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อสินค้ามาวางขาย ภรรยาเพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ไม่มีบุตร ชายผู้นี้จึงไม่ต้องผูกพันรับผิดชอบครอบครัว มีชีวิตค่อนข้างอิสระ จึงมีเวลาให้ความสนใจสังคมรอบข้าง ทุกครั้งที่ว่างจากการขายสินค้า คือ หยุดวันอาทิตย์ เขาจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนชายชราผู้ทรงศีลผู้นี้ พร้อมหนังสือพิมพ์ ของขบเคี้ยว ชา กาแฟ ติดมือมาฝาก อ่านหนังสือพิมพ์ พูดคุย วิจารณ์ ถกปัญหาสังคม เป็นประจำต่อเนื่องมาหลายปี

          วันนี้ ชายวัยกลางคนผู้นี้มาเยี่ยมเยือนชายชราผู้ทรงศีลเหมือนเช่นเคย แต่ต่างจากทุกครั้ง มาบอกกล่าวลา ตนได้เลิกกิจการค้า อยากหาที่สงบอยู่กับธรรมชาติ ตั้งใจจะขึ้นไปอยู่บนเขาเพื่อทำไร่ชาร่วมกับชาวเขา เนื่องจากเบื่อหน่ายความวุ่นวาย การแข่งขันชิงดีชิงเด่น ระแวงต่อการลักขโมยปล้นจี้มีเกิดขึ้นบ่อย ทำให้รู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัย การนี้ชายชราผู้ทรงศีลรู้สึกยินดีและเห็นด้วยที่ชายผู้นี้ต้องการแสวงหาความสุขสงบกับธรรมชาติ และได้ให้พรแก่เขาพบความสุขและความสำเร็จในอาชีพใหม่

          ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย แม้ชายวัยกลางคนผู้นี้จะทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพียรพยายามอย่างเต็มที่ ก็ไม่สามารถเนรมิตให้เกิดผลได้โดยพลัน ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนต้องใช้เวลาตามฐานานุรูป และขึ้นอยู่กับคุณสมบัติเฉพาะของงาน

          ใช้เวลาอยู่หลายปี ผลผลิตใบชาชุดแรกก็ออกผลให้ได้ชื่นชม แต่มีไม่มากพอที่จะนำส่งลงไปขายเองที่ตัวอำเภอ จำต้องนำไปขายรวมกับใบชาของผู้อื่นในระแวกนั้น

          วันเวลาผ่านไป ในที่สุดผลผลิตใบชามีมากพอที่จะขนลงไปขายในตัวอำเภอ โรงรับซื้อใบชามีเพียงแห่งเดียว เจ้าของกิจการเป็นคนไทยเชื้อสายจีน สรวมสายสร้อยทองคำเส้นโตแขวนพระเครื่องราคาแพงเลี่ยมทองหลายองค์ สรวมนาฬิกาข้อมือเรือนทอง หัวเข็มขัดก็เป็นทองคำแกะลายนักษัตรปีเกิด ทุกอย่างแทบจะเป็นทองไปทั้งตัว ยกเว้นแต่ฟันมิได้เลี่ยมทอง

          กุลีกุจอขนกระสอบบรรจุใบชาอบแห้งขึ้นตาชั่งใหญ่ เจ้าของกิจการอ่านน้ำหนักได้ห้าร้อยกิโลกรัม จากนั้นกดเครื่งคิดเลขบอกราคารับซื้อ ชายกลางคนตกใจไม่เชื่อหูตนเอง เจ้าของกิจการบอกสำทับราคารับซื้ออีกครั้ง แทบเข่าอ่อน ราคารับซื้อต่อกิโลกรัมไม่ต่างไปจากราคาที่ได้เคยขายบนเขา คนงานลูกน้องเจ้าของกิจการเข้ามาสำทับ ถ้าไม่ขายก็ให้ขนกลับไป

          เป็นไปได้อย่างไร ชายวัยกลางคนผู้นี้ตกที่นั่งลำบาก ประหนึ่งสินค้าของเราเสมือนซากศพ เมื่อเข้าป่าช้าแล้วต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เผาก็ต้องฝัง เสียรู้เช่นนี้จำต้องทำใจดีสู้เสือ ขอความเห็นใจช่วยเพิ่มราคาซื้อ ในที่สุดเจ้าของกิจการยอมเพิ่มราคาให้เล็กน้อยพอคุ้มค่าราคาน้ำม้นรถ

          เมื่อกลับถึงบ้านบนเขา ถามไถ่เพื่อนบ้านเกี่ยวกับราคาซื้อขายใบชาอบแห้ง ทุกคนให้คำตอบไปในทางเดียวกันว่า พ่อค้าต่างถิ่นไม่กล้าเข้ามารับซื้อ เพราะเขาเป็นผู้มีอิทธิพลมีลูกน้องเป็นอันธพาลมาก เหล่าข้าราชการเกรงใจ จึงเป็นผู้รับซื้อรายเดียว ไม่มีผู้ใดกล้าขนออกไปขายที่ตัวเมือง กลัวถูกกลั่นแกล้ง

          แม้นจะไม่ได้รับความเป็นธรรมถูกกดราคา เหล่าเกษตรกรที่สูงบนเขาเหล่านี้ก็มิได้ย่อท้อ ให้ความดูแลทุ่มเทบำรุงต้นชาเติบใหญ่ให้ผลผลิตจำนวนมาก ยังความมั่งคั่งแก่เจ้าของกิจการผู้รับซื้อใบชาอบแห้งรายเดียวของอำเภอ

          อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าของกิจการรับซื้อใบชาอบแห้งของอำเภอได้ขับรถหรูราคาแพงพาครอบครัว ประกอบด้วยภรรยาและบุตรสามคน เข้ามาเที่ยวชมไร่ชาของชาวไร่ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบลำพอง ชี้ชวนครอบครัวให้มองนั่นดูนี่ด้วยความสุข เพราะไร่ชาเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งสร้างความมั่งคั่งแก่ครอบครัวของเขา

          ครู่ใหญ่ต่อมาไม่นานนัก ก็มีเพื่อนบ้านวิ่งกระหืดกระหอบมาที่บ้านของชายวัยกลางคน ระล่ำระลักบอกว่า มีรถยนต์นั่งพร้อมผู้โดยสารหลายคนตกลำห้วยข้างถนนหน้าหมู่บ้าน ทุกคนในระแวกนั้นต่างรีบวิ่งชวนกันไปช่วย เมื่อไปถึงที่นั่น พบผู้คนจำนวนมากยืนเรียงรายที่ขอบถนนติดลำห้วยอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนต่างมองลงไปที่ซากรถด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาไม่มีผู้ใดใส่ใจลงไปช่วยคนเจ็บ ชายวัยกลางคนค่อยๆ เดินเลาะตามความลาดชันตรงไปยังซากรถหรูบุบเบี้ยวคันนั้น ภายในตัวรถพบเด็กโตสามคนทับซ้อนกันอยู่บนเบาะหลัง ที่เบาะหน้ามีร่างผู้ใหญ่สองคนหายใจรวยริน นัยตาละห้อยวิงวอนขอความช่วยเหลือ พลันก็จำได้ว่าเป็นพ่อค้าและภรรยารับซื้อใบชาอบแห้งของอำเภอ หลายคนที่ได้เดินตามลงมาช่วยกันดึงร่างเด็กเคราะห์ร้ายทั้งสามออกมาจากตัวรถ ไม่ทันที่จะช่วยผู้ใหญ่ทั้งสองที่ติดอัดอยู่เบาะหน้า กลิ่นและไอคละคลุ้งของน้ำมันเบ็นซินเกิดติดไฟ เริ่มลุกลามขึ้นมาจากถังน้ำมัน ทุกคนที่กำลังสาละวนอยู่กับการช่วยเหลือต้องรีบผละถอยห่างออกจากตัวรถ ชั่วอึดใจเปลวไฟลุกโชนเผาซากรถหรูทั้งคันพร้อมคนเจ็บทั้งสองที่ติดคาอยู่ภายในอย่างรวดเร็ว

          โรงรับซื้อใบชาอบแห้งประจำอำเภอเลิกกิจการ จากนั้นมาเหล่าเกษตรกรผู้ปลูกไร่ชาบนภูเขาทุกครอบครัวต่างมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตดีขึ้น เพราะมีรายได้ดีจากการขายใบชาอบแห้ง เนื่องจากมีพ่อค้าในเมืองและต่างพื้นที่เข้ามารับซื้อถึงที่

          เวลาผ่านไปหลายปี สภาพแวดล้อมของหมู่บ้านบนเขาแห่งนี้ร่มรื่น เกือบจะทุกแห่งปกคลุมด้วยต้นชาน้อยใหญ่เขียวขจี ตกเย็นบรรยากาศโดยรอบจะอบอวลด้วยกลิ่นหอมของใบชาจากการขั้วบนกระทะร้อน เพื่อทำให้ใบชาแห้งกรอบจากทุกครัวเรือน

          ภายในบ้านไม้ไผ่ขัดแตะใต้ถุนสูงหลังคามุงสังกะสีหลังหนึ่ง ชายสองคนกำลังสาละวนอยู่กับงานอย่างขมักเขม้น ชายวัยกลางคนกำลังเกลี่ยใบชากองโตบนกระทะร้อนพลิกกลับไปมา เพื่อใบชาสดที่เพิ่งเก็บมาจากไร่เกิดใบม้วนเข้าหากัน หดตัวและแห้ง ชายแก่อายุมากกว่าอีกคนกำลังคัดเลือกใบชาในกระจาดใบใหญ่สานด้วยไม้ไผ่ เขาผู้นี้คือชายชราผู้ทรงศีล บัดนี้ได้สละคราบผู้ทรงศีลไม่สวมใส่เครื่องนุ่งห่มชุดขาวอีกต่อไป เหตุจากถูกขับออกจากกระต๊อบมุงใบจากปลายนา เพราะที่ดินบริเวณนั้นได้ถูกทางการนำไปสร้างฟาร์มไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ชายชราผู้ทรงศีลในขณะนั้น จำต้องระเหเร่ร่อนเดินขึ้นมายังหมู่บ้านบนเขา และที่ไร่ชาแห่งนี้ ได้เปลี่ยนแปลงวิธีคิดของชายชราผู้นี้อย่างสิ้นเชิง อยู่อย่างธรรมชาติ ไม่สร้างภาพ ไม่เสแสร้ง เหลือใช้ให้แบ่งปัน มีน้อยต้องอดออม ขยันหมั่นเพียรมีกิน งอมืองอเท้าอดตาย




นกทำรังแต่พอตัว

          กาลครั้งหนึ่ง ณ ชายฝั่งแม่น้ำใกล้เมรุเผาศพในป่าช้าท้ายหมู่บ้านห่างไกลจากเมืองมธุรา กระทาชายนายหนึ่งนามสมวิทย์ กำลังนั่งยองๆ ติดชายน้ำ มือทั้งสองโบกโบยสร้างกระแสคลื่นน้ำให้กระเพื่อมไปข้างหน้า เพื่อช่วยพัดพาผงเถ้าอังคารให้ไหลออกไปกลางแม่น้ำ ขณะภรรยาและบุตรของผู้ตายยืนอยู่เหนือน้ำข้างๆ กำลังโปรยเถ้าอังคารและดอกดาวเรืองลงแม่น้ำด้วยความอาลัย

          เมื่อเสร็จพิธีอย่างเรียบง่าย ทุกคนได้ออกไปจากสถานที่แห่งนั้น เว้นแต่นายสมวิทย์ยังคงนั่งเหม่อลอยทอดสายตาไปกลางแม่น้ำที่กำลังไหลเอื่อยช้าๆ ครุ่นคิดถึงอดีตและเหตุการณ์ต่างๆ จากชีวิตเมื่อวัยหนุ่มได้ทำงานอยู่กับนายสัมพันธ์ เจ้านายผู้มีพระคุณซึ่งได้ล่วงลับไปแล้ว

          นายสัมพันธ์ชายรูปร่างสันทัดเกิดในตระกูลชาวนา เป็นคนโตมีน้องร่วมสายโลหิตสามคนชายสองหญิงหนึ่ง พักอาศัยอยู่ร่วมกับบิดามารดาผู้ชรา สุขภาพแข็งแรง กิจวัตรประจำวันช่วยดูแลบ้าน จัดและหุงหาอาหาร จะหยุดพักก็แต่วันพระไปทำบุญฟังเทศนาที่วัดข้างบ้านตามประสาคนแก่ในชนบท บุตรชายทั้งสามมีครอบครัวแต่บุตรีผู้เดียวครองโสด พักอาศัยอยู่รวมกันในเรือนไม้หลังใหญ่ เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ประกอบอาชีพเกษตรกรรมบนผืนนากว่าร้อยไร่ของตนในพื้นที่เขตชลประทาน ปลูกพืชหมุนเวียนต่างชนิดบนแปลงนาตลอดปี เนื่องจากทำเกษตรแปลงใหญ่ จึงได้ผลผลิตมากทำให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ดี มีหน้ามีตา เป็นที่พึ่งพานิยมชมชอบของวัดและโรงเรียนในหมู่บ้าน ไม่ขัดข้องหากถูกเรี่ยไรปฏิสังขรณ์ บริจาคพัฒนาโรงเรียนด้วยความเต็มใจ

          ในชนบทห่างไกลออกไปมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่กันไม่กี่ครอบครัวจำนวนมาก ดำรงชีพด้วยการทำเกษตรกรรม หาของป่า พึ่งพาธรรมชาติ ปีไหนฝนตกต้องตามฤดูกาลผลผลิตดีมีความสุข หากปีไหนฝนไม่ตกตามฤดู เกิดความแห้งแล้ง คนหนุ่มสาวต้องออกไปนอกหมู่บ้านหางานทำ นำเงินมาจุนเจือคนที่บ้าน นายสมวิทย์เป็นผู้หนึ่งต้องออกจากบ้านเมื่อหลายปีมาแล้ว ได้งานทำอยู่กับนายสัมพันธ์ สารพัดหน้าที่ ไขน้ำเข้านา ใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช ขับรถขนของ กินอยู่พักนอนในห้องใต้ยุ้งข้าว ค่าแรงพอเหลือส่งครอบครัวที่บ้าน ความที่นายสัมพันธ์เป็นนายจ้างใจนักเลง ชอบคนขยันรู้หน้าที่ไม่เกี่ยงงาน จึงให้ความเมตตาอารีย์แก่เด็กหนุ่มสมวิทย์ ได้ชี้แนะสั่งสอนให้รู้การใช้เครื่องมือการเกษตร เทคนิควิธีการปราบศัตรูพืช จังหวะการให้น้ำแก่พืชที่ปลูก ซึ่งนายสมวิทย์ก็ทำได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง งานดีนายดีจึงไม่มีความคิดกลับคืนบ้านเกิด ในที่สุดได้เป็นหัวหน้ารับผิดชอบดูแลลูกจ้างรายวัน ซึ่งแต่ละครั้งของรอบการปลูกพืช จะใช้แรงงานไม่ต่ำกว่าสิบคน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และได้ย้ายมาพักอยู่ที่เรือนหลังเล็กหลังโรงเก็บข้างยุ้งข้าว ความเป็นอยู่รายได้ดีขึ้น ที่เรือนหลังนี้ ได้แต่งงานกับสาวแรงงานต่างถิ่นที่มารับจ้างทำงานจนมีบุตรสาวสองคน

          เมื่อเวลาผ่านไปบ้านเมืองพัฒนา ความเจริญกระจายขยายไปทุกพื้นที่ ขนาดของเศรษฐกิจในแต่ละท้องถิ่นมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น นายทุนเข้ามาแนะและชี้นำหาผู้ร่วมทุนอาชีพเกษตรกรรมแปลกใหม่ หนึ่งในนั้นได้แก่การทำฟาร์มเลี้ยงกวางแดง โฆษณาเลี้ยงง่ายขายคล่องเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ เขากวางอ่อนเป็นที่ต้องการของประเทศจีนและเกาหลีเพราะเป็นส่วนหนึ่งของยาจีนแผนโบราณ กวางจะสลัดเขาและออกเขาใหม่ขึ้นมาแทนที่ทุกปี ส่วนเนื้อกวางเป็นอาหารรสเลิศคอเรสเตอรอลต่ำ เป็นที่นิยมของชาวตะวันตกและกลุ่มผู้มีเงินรักสุขภาพ

          ฟังแล้วเคลิ้ม นายสัมพันธ์เป็นผู้หนึ่งให้ความสนใจเรื่องการเลี้ยงกวางแดง จึงได้แจ้งความจำนงและได้เข้าชมฟาร์มกวางตัวอย่างในเมืองร่วมกับเกษตรกรรายอื่นจากตำบลเดียวกันและท้องที่อื่นอีกหลายคน

          เมื่อกลับถึงบ้านได้ปรึกษาพูดคุยกับพ่อแม่และพี่น้องในครอบครัว ต่างให้ความสนใจที่จะลงทุนแต่ต้องทดลองก่อนเพราะเป็นของใหม่ นายทุนได้ขายลูกกวางให้มาทดลองเลี้ยงสามคู่ ผ่านไปสองปีทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ขายกวางคืนได้ราคาดี

          จะด้วยการมองการณ์ไกล เล็งผลเลิศ หรือ ความละโมบ มิอาจทราบได้ ครอบครัวนี้ต่างมีความคิดที่จะทำฟาร์มกวางขนาดใหญ่ กวางแดงเป็นสัตว์เมืองหนาวหากได้เลี้ยงในที่เหมาะสม อากาศเย็นย่อมจะได้ผลผลิตที่ดี คิดได้เช่นนั้นจึงไปหาเช่าที่ดินเขตที่ราบสูงบนภูเขาอากาศหนาวเย็นตลอดปี เนื้อที่ประมาณสองร้อยไร่จากชาวบ้าน ส่งเครื่องจักรกล รถบรรทุกขนคนงานไปปรับพื้นที่ขุดอ่างเก็บน้ำ สร้างคอกโรงเรือนและที่พัก ล้อมรั้วลวดหนามโดยรอบ จากนั้นนำลูกกวางแดงเข้าคอกอนุบาล เพศผู้หนึ่งร้อยตัว เพศเมียสามร้อยตัว จ้างแรงงานจากคนในท้องที่นั้นทำงานในฟาร์ม นายสมวิทย์เป็นผู้ควบคุมดูแล การนี้หมดเงินไปมากโข ไร่นาเดิมให้น้องชายช่วยกันดูแล น้องสาวดูแลงานบ้าน นายสัมพันธ์เป็นผู้จัดการเดินทางไปมาทั้งสองแห่ง

          การเกษตรกรรมปลูกพืชอายุสั้นใช้เวลาสามสี่เดือน หลังเก็บเกี่ยวจะได้ผลตอบแทนเป็นตัวเงินกลับคืนทันที แต่การปศุสัตว์กว่าจะเลี้ยงให้โตใช้เวลาหลายปี กินอาหารทุกวัน ยิ่งโตยิ่งกินมาก หญ้าเลี้ยงสัตว์ปลูกได้ในพื้นที่ แต่อาหารโปรตีนเร่งโตเช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ยาสัตว์ อาหารเสริม ล้วนต้องซื้อหา ค่าแรงงานและจิปาถะ... มีแต่จ่าย เกิดขัดสนเงินทองจำต้องเอาโฉนดที่นาของครอบครัวไปวางค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารในเมือง ได้เงินก้อนโตมาบริหารสภาพคล่อง เวลาผ่านไปเกือบสองปี กวางแดงทั้งฟาร์มโตพอที่จะส่งขายได้แล้ว เริ่มประสพปัญหาสภาพคล่องอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงมาก หมุนเงินไม่ทัน ดอกเบี้ยธนาคารขาดส่ง ชักหน้าไม่ถึงหลังไม่มีเงินจ่ายค่าแรง คนงานที่เคยจ้างต้องลดเหลือเพียงสองคน อาหารโปรตีนและหยูกยาขาดแคลน ฝูงกวางแดงผ่ายผอมอ่อนแอ ในที่สุดเกิดโรคระบาดตายยกฟาร์ม นายสมวิทย์ต้องละทิ้งฟาร์มย้ายกลับมาอยู่ที่เดิม นายสัมพันธ์หมดตัว ที่นาถูกยึดขายทอดตลาดกลายเป็นบุคคลล้มละลาย เพื่อนฝูงที่เคยไปมาหาสู่หลบหน้า สภาพสังคมแวดล้อมโดยรอบเปลี่ยน ไปทางไหนก็มีแต่คนเบือนหน้า รู้สึกเครียด ไฉนชีวิตถึงได้ตกต่ำถึงเพียงนี้ คิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว ตายเพื่อหนีความอับอาย แต่เมื่อมองไปรอบกาย ทุกคนในครอบครัวยังมีรอยยิ้มด้วยสายตาอบอุ่น ช่วยกันปลอบประโลมใจ ไม่ใช่ความผิดของผู้หนึ่งผู้ใด เป็นเพราะตัดสินใจผิดพลาด ทำอาชีพที่พวกเราไม่มีประสบการณ์ในถิ่นห่างไกลไม่คุ้นเคย เมื่อล้มย่อมมีโอกาสลุก ชีวิตยังอยู่ มีค่าอย่าทำลายตัวเอง ต้องไม่ยอมแพ้

          ด้วยใจหนักแน่นเข้มแข็ง ถึงจะยากไร้แสนเข็ญ นายสัมพันธ์ไม่ย่อท้อยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต พยายามดิ้นรนทำทุกอย่างที่จะได้เงิน มีน้อยกินน้อยไม่ขอใครกิน หากขัดสนจนใจ จำต้องบากหน้าขอยืมเงินเป็นครั้งคราว จะเอ่ยคำว่า ยืม ...คนมันไม่มี จึงไม่มีใช้คืน... นอกบ้านถูกประณามหยามหมิ่น แต่ในบ้านยังอบอุ่นด้วยความรักและห่วงใย พี่น้องช่วยกันเช่าที่นาผู้อื่นปลูกพืช ไม่ยอมทิ้งอาชีพเกษตรกรรม ให้กำลังใจแก่กันอยู่สู้ชีวิตด้วยความสามัคคี อดทน หนักแน่น

          นายสมวิทย์ได้ย้ายออกไปเช่าที่นาผืนเล็กร่วมกับภรรยาทำเกษตรปลูกพืชหมุนเวียนเลี้ยงชีพ แม้นนายเก่าตกอับไร้ที่พึ่ง เมื่อถูกร้องขอ เขาและภรรยาก็ยินดีปลีกเวลามาช่วยงานเป็นครั้งคราว

          ด้วยความขยันหมั่นเพียร นานวัน นายสมวิทย์และภรรยาสามารถเก็บออมเงิน ผ่อนซื้อที่ดินผืนกระจิด ท้ายหมู่บ้านติดลำกระโดง ปลูกกระต๊อบหลังเล็กอยู่กันพ่อแม่ลูกสอง

          สุดท้ายของชีวิตได้มาถึง หลังจากที่อยู่อย่างลุ่มๆ ดอนๆ หลายปี นายสัมพันธ์ได้สิ้นลมด้วยอาการหัวใจล้มเหลวภายในบ้านอย่างสงบ รายล้อมรอบข้างด้วยลูกหลานญาติและน้องๆ

          กำลังอยู่ในภวังค์ นายสมวิทย์ได้ยินเสียงลูกนกร้องจากเบื้องบน มองตามขึ้นไปเห็นรังนกเล็กๆ ใต้ชายคาเตาเผาศพ พ่อและแม่นกกำลังป้อนอาหารให้ลูกนกในรัง ทำให้ได้คิด เมื่อครั้งก่อนโน้น นายสัมพันธ์และครอบครัวเป็นผู้บริจาคเงินสร้างเมรุสาธารณะประโยชน์แห่งนี้ แทนเมรุเดิมที่เคยมีอยู่ในวัด และอีกหนึ่งวีรกรรม ผู้คนคงลืมไปแล้ว ครั้งหนึ่ง เจ้าอาวาสจากวัดในหมู่บ้านถัดไปมีแผนเข้ามาช่วยปฏิสังขรณ์พระวิหาร โดยร่วมกับกรรมการวัดแห่งนี้จัดงานทอดผ้าป่าหาเงินเข้าวัด แต่เบื้องลึกต้องการเข้ามาสับเปลี่ยนพระพุทธรูปโบราณองค์งาม ถูกทักท้วงจากนายสัมพันธ์ ยังความขัดเคืองแก่เจ้าอาวาสผู้นั้น ยกเลิกงานทอดผ้าป่าแก้เกี้ยวว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากกรรมการวัดแห่งนี้

          ลำพังวัดเล็กๆ ประจำหมู่บ้านไม่ค่อยมีใครอยากบวชอยู่ประจำวัดนาน ชาวบ้านต้องพึ่งพาอาศัยร้องขอให้มีพระสงฆ์อยู่จำวัด บางครั้งถึงขั้นต้องนิมนต์ขอแบ่งพระสงฆ์จากวัดอื่น สมัยนี้มีแต่บวชฉาบฉวยเพื่อหน้าตาในสังคม บวชหนีคดี บวชก่อนแต่ง บวชหน้าไฟ บวชแก้บน ฯลฯ จึงมีพระบวชเข้าและสึกออกไปหางานทำบ่อยๆ ในที่สุดพระพุทธรูปโบราณองค์งามก็อันตรธานหายไปโดยไร้ร่องรอย มีพระพุทธรูปสร้างใหม่ขนาดใกล้เคียงเข้ามาตั้งแทนที่ เข้าใจว่าผู้ต้องการครอบครองคงใช้เวลาเพียรพยายามอยู่หลายปี

          เวลาบ่ายมากแล้ว มีเสียงเดินสวบสาบจากใบไม้แห้งบนถนนหน้าทางเข้า หญิงวัยกลางคนและเด็กหญิงสองคนในชุดนักเรียนสะพายเป้หนังสือเข้ามาหา นายสมวิทย์และคนทั้งสามเดินออกไปช้าๆ ผ่านหน้าเมรุ หยุดยืนสงบสักครู่หันหน้ามองเข้าไปภายใน ต่างยกมือขึ้นพนมระดับอกพร้อมกันเหมือนบอกลาใครสักคน จากนั้นทั้งหมดเดินกลับลับไปในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า




ดีชั่วอยู่ที่ตัวตน

          กาลนานมาแล้ว ณ ตำบลหนึ่งในอำเภอห่างไกลจากเมืองใหญ่ กลางทุ่งนาข้าวเวิ้งว้างขนาดใหญ่มีบริเวณเสื่อมโทรมลักษณะเคยเป็นศาสนะสถานในพุทธศาสนา ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ มีเจดีย์หักทรงลังกาถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่ พื้นระเกะระกะเต็มไปด้วยซากอิฐสอปูนของพระพุทธรูปไร้เศียร ซากปูนเจ้าแม่นุ่งห่มเหมือนกวนอิมแตกหักมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมบางส่วน ห่างออกไปมีกองเทพเจ้าฮินดูหลายกร สภาพสิ่งปรักหักพังเหล่านี้เหมือนภาพโบราณสถานในวิชาโบราณคดี บริเวณโดยรอบถูกปกคลุมด้วยไม้พุ่มและต้นหญ้า มีรอยทางเดินเท้าเป็นร่องแคบๆ สภาพถูกใช้เป็นทางเดินเข้าออกประจำ ไม่มีต้นหญ้าขึ้นในร่องดิน ทอดยาวลัดเลาะเข้าไปยังซากโบสถ์ผุพังพอมีมุมหลืบให้พักพิงอยู่อาศัย

          ภายใต้ร่มเงาจากกำแพงหนาของโบสถ์เก่านี้ ตรงกลางเป็นที่ตั้งพระประธานปางมารวิชัยองค์ใหญ่ปราศจากยอดพระเกศ สภาพโดรวมค่อนข้างสมบูรณ์ มีรอยกระเทาะของปูนรอบองค์พระ มองเห็นเนื้ออิฐสีส้มอ่อน ประดิษฐานนั่งอยู่บนฐานชุกชียกพื้นสูงปูด้วยอิฐหนา มุมด้านหนึ่งเป็นที่พักของชายชราอายุมากผมหงอกขาวดั่งดอกเลา และชายหนุ่มผู้มาขออาศัยภายหลัง

          ชายหนุ่มกำลังจัดแจงทำอาหารเช้าอย่างง่ายๆ บนแคร่ไม้มีผลมะม่วงและฝรั่งสุกจำนวนหนึ่งเก็บจากต้นไม้ผลในบริเวณนี้วางอยู่ ชายชราร่างกายค่อนข้างผอมนั่งอยู่ข้างๆ อาหารเช้ามื้อนี้ประกอบด้วยเส้นแป้งสำเร็จรูปในน้ำซุปผง จากเสบียงอาหารแห้งซื้อจากพ่อค้าเร่ในตลาดนัดกลางหมู่บ้าน

          เมื่อทั้งคู่อิ่มท้อง ชายชราได้หยิบเสียมด้ามไม้ขนาดเหมาะมือเดินไปใต้ร่มต้นไม้ใหญ่ จัดเรียงต้นกล้าบนแปลงดินที่ได้ขึ้นแปลงใว้ก่อนหน้านี้ ส่วนชายหนุ่มได้ล้างและจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่ จากนั้นหยิบหมวกใบลานปีกกว้างขึ้นสวม และหยิบจอบด้ามยาวแบกเดินตรงไปยังที่โล่งไม่ห่างจากแปลงดินที่ชายชรากำลังทำงานอยู่ ขุดพรวนดินขึ้นแปลงได้พื้นที่พอประมาณ อากาศเริ่มร้อนแดดแรง จำต้องเข้าไปนั่งพักหลบแดดในที่ร่มใต้ต้นไม้ใหญ่ เหงื่อท่วมตัว ดื่มน้ำที่ได้นำติดต้วแก้กระหาย มองไปยังชายชรากำลังง่วนอยู่กับการจัดเรียงระยะห่างต้นกล้าอ่อนให้เป็นแถวแนวเดียวกัน

          ชายชราผู้นี้ เดิมเคยบวชเป็นพระสงฆ์จำวัดในเมือง เบื่อความเล่นพวกและทุศีลของเหล่าพระสงฆ์ในวัดเดียวกัน จึงได้ปลีกตัวเดินธุดงค์ออกไปในชนบทห่างไกล สภาพท้องถิ่นทุกแห่งล้วนเป็นเศรษฐกิจระบบทุนนิยม ทุกคนต้องดิ้นรนหาแต่เงิน มือใครยาวสาวได้สาวเอา ในดวงจิตล้วนร้อนลุ่มด้วยกิเลส ตัณหา ราคะ ผู้คนไม่มีศีล ห่างวัด พิธีกรรมทางศาสนาถูกละเลย เห็นแต่เงินเป็นพระเจ้า ในชนบทห่างไกลเช่นนี้ พฤติกรรมของผู้คนมีจิตใจไม่ต่างไปจากเมืองใหญ่ บางวันเดินธุดงค์ภิกขาจารจนปวดขาได้ข้าวสุกไม่พอยาท้อง อ่อนใจท้อแท้ ได้เดินธุดงค์มาถึงวัดร้างแห่งนี้ รกร้างปราศจากผู้คนอาศัย เมื่อได้สำรวจโดยรอบชวนให้นึกไป หรือนี่คือโลกอนาคตเมื่อครั้งสิ้นศาสนา คิดอยู่พักใหญ่ จึงตัดสินใจปลดเปลื้องจีวรออกจากกาย กองไว้ที่หน้าตักพระประธานในซากวิหาร เอ่ยปากบอกลาสิกขา และขออนุญาตพักอาศัยอยู่เป็นเพื่อนกับพระประธานจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะในภาวะเช่นนี้ ยากที่จะครองเพศบรรพชิต ดำรงชีพด้วยการปลูกพืชสวนครัว ปลูกสมุนไพรตากแห้งเป็นยาพื้นบัาน ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับอาหารและของใช้ที่จำเป็นกับชาวบ้าน

          ชายหนุ่มก้มมองดูตนเอง เสื้อเปียกชุ่มด้วยเหงื่อและรู้สึกเย็นสบายเมื่อลมพัดผ่าน ในความเข้าใจของชายชรา เขาคือคนพเนจรเร่ร่อนเหมือนนกกาไร้รังนอน

          มีคนเดินเข้ามาแต่ไกลสองคน ทั้งคู่อยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจตรงเข้ามาหาและตะโกนเรียกชื่อ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนหันไปมองตำรวจทั้งสอง เมื่อเข้ามาใกล้ ตำรวจผู้หนึ่งในชุดร้อยตำรวจโทได้ยื่นหนังสือราชการเอ่ยปากว่าเป็นหมายจับจากศาลคดีฆาตกรรม ชายหนุ่มมิได้ขัดขืน ขออนุญาตกล่าวคำอำลาชายชรา ซึ่งกำลังยืนงงด้วยความแปลกใจเกิดอะไรขึ้น นี่เราอยู่ร่วมกับฆาตกรมาหลายเดือน... จากนั้น ตำรวจยศสิบตรีที่ร่วมเดินทางมาด้วยได้ให้ชายหนุ่มยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า สับกุญแจมือทำให้ชายหนุ่มอยู่ในสถานะถูกจับสิ้นอิสรภาพ เดินตามตำรวจทั้งสองออกไปจากที่รกชัฎ ทั้งสามลัดเลาะเดินตามคันนาจนถึงถนนลูกรังมีรถตำรวจจอดอยู่ในร่มไม้ นายสิบตำรวจทำหน้าที่ขับรถ นายตำรวจนั่งเบาะข้างคนขับ ชายหนุ่มนั่งเบาะหลัง

          รถตำรวจวิ่งเข้าเมืองไปตามถนนค่อนข้างขรุขระ บางครั้งส่ายไปมาตกหลุมเป็นครั้งคราว ชายหนุ่มนั่งยืดขาทั้งสองออกไปข้างหน้าสอดปลายเท้าเข้าใต้เบาะที่นั่งคนขับ มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือวางบนหน้าท้อง เอนหลังในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอน หลับตารำพึงอยู่ในใจ เรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้ายอมได้ตั้งแต่แรกคงไม่ต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ ในสมองเต็มไปด้วยความสับสน

          ชายหนุ่มผู้นี้ เดิมเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมปลายโรงเรียนประจำจังหวัด ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจรับอาคารเรียน สร้างตามแบบมาตรฐานของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นอาคารเรียนคอนกรีตเสริมเหล็กสามชั้นยี่สิบสี่ห้องเรียนและหนึ่งห้องพักครู มีครูจากวิชาอื่นร่วมเป็นกรรมการสี่คน เขาเป็นทั้งกรรมการและเลขานุการ ส่วนกรรมการจัดซื้อจัดจ้างเป็นครูด้านธุรการสี่คน เจ้าหน้าที่การเงินทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ

          เมื่อการก่อสร้างอาคารเรียนแล้วเสร็จ ผู้อำนวยการโรงเรียนคะยั้นคะยอเขาให้รีบเซ็นรับอาคาร เนื่องจากกรรมการผู้อื่นทุกคนได้เซ็นในเอกสารตรวจรับอาคาร ขาดแต่ตัวเขา ซึ่งเขาก็ได้ชี้แจงเหตุที่ยังไม่ยอมเซ็นรับนั้น เพราะยังมีการก่อสร้างบางรายการผิดไปจากแบบต้องแก้ไข อุปกรณ์หน้าต่างบานประตูไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดในสัญญา สร้างความไม่พอใจแก่ผู้อำนวนการฯ และกรรมการหลายคน

          เย็นวันหนึ่ง ที่บ้านพักครูท้ายโรงเรียน ผู้อำนวยการฯ ได้มาหาและต่อรองให้เซ็นรับมอบโดยเสนอเงินจำนวนหนี่ง ถูกปฏิเสธ สร้างความหัวเสียให้แก่ผู้อำนวยการฯ

          ครูหลายคนที่เป็นกรรมการมีปฏิกิริยาห่างเหินเแปลกไป และแล้วในเย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน ผู้อำนวยการฯ มาพร้อมกับผู้รับเหมาฯ ซึ่งเป็นคู่สัญญาก่อสร้างอาคารเรียนหลังนั้น ได้พยายามโน้มน้าวหว่านล้อมต่างๆ นาๆ อ้างว่า กรรมการทุกคนล้วนได้รับเงินค่าอำนวยความสะดวก เขาก็ควรกินตามน้ำเหมือนผู้อื่น แต่ก็ถูกปฎิเสธเหมือนเช่นเคย ในที่สุดผู้รับเหมาฯ ได้เสนอเงินเป็นสองเท่า ครูหนุ่มส่ายหน้าสบถถ้อยคำ ตนมีศักดิ์ศรีไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง สร้างความเดือดดาลให้แก่ผู้อำนวยการฯ เป็นอย่างมาก เดินตรงมาจับกระชากคอเสื้อครูหนุ่มด้วยความโกรธมาก เพราะถูกทำให้อับอายต่อหน้าบุคคลอื่น

          เกิดการชกต่อย ผู้อำนวยการฯ สู้แรงครูหนุ่มไม่ได้ พลาดท่าล้มศีรษะกระแทกขอบโต๊ะทำให้หมดสติ ผู้รับเหมารีบนำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง แต่ผู้อำนวยการฯ ได้เสียชีวิตในระหว่างทาง ครูหนุ่มสับสนทำอะไรไม่ถูก ไม่พ้นข้อหาฆ่าผู้บังคับบัญชา ผิดทางวินัยมีโทษหนักถูกไล่ออกแน่นอน โทษอาญาไม่พ้นติดคุก หาใครเป็นพยานยาก เพราะครูในโรงเรียนนี้เกือบจะทุกคนล้วนเป็นพวกเดียวกับผู้อำนวยการฯ อับจนหาทางออกไม่ได้ คิดได้อย่างเดียว หนีไปให้พ้นจากความอุบาทว์

          ชายหนุ่มครึ่งหลับครึ่งตื่น ได้ยินเสียงนายตำรวจที่นั่งอยู่ข้างหน้าถาม ถึงสถานีตำรวจจะยื่นประกันตัวหรือไม่ ชายหนุ่มส่ายหน้า คงหลายแสนเอาเงินที่ไหนมา ญาติพี่น้องล้วนอยู่ห่างไกล ตนไม่ต้องการให้ใครไปกู้หนี้เพื่อการนี้

          รถค่อยๆ ชลอและหยุดจอดนิ่ง บนถนนราบเรียบสองข้างทางเป็นป่าร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ มีชายหนุ่มชาวป่าผู้หนึ่งสะพายย่ามยืนโบกมืออยู่ข้างทางขอโดยสารติดรถเข้าเมือง นายตำรวจได้เปิดประตูหลังให้ชายผู้นั้นเข้ามานั่งข้างชายหนุ่ม เมื่อชายผู้มาใหม่มองเห็นชายหนุ่มถูกใส่กุญแจมือ ชะงักก่อนจะค่อยๆ นั่งลงบนเบาะ นายตำรวจได้ถามชายหนุ่มผู้มาใหม่ว่าเข้าไปทำอะไรในเมือง ชายหนุ่มชาวป่าได้ตอบว่าจะนำรังผึ้งไปขาย พร้อมกับล้วงมือเข้าไปในถุงย่าม หยิบรวงผึ้งป่ารังใหญ่ออกมาให้ดู ทันไดนั้น ผึ้งป่าตัวโตบินออกมาจากรวงผึ้ง ตรงไปเกาะที่คอคนขับรถ ตกใจด้วยความเจ็บปวดจากผึ้งต่อย มือผละจากพวงมาลัยยื่นไปตบที่คอ รถเสียหลักพุ่งตกถนนออกข้างทางไปชนอัดเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ชายหนุ่มถูกแรงกระแทกไถลลงไปกองในช่องว่างระหว่างเบาะหน้าและเบาะหลัง จุกอยู่นาน เมื่อได้สติพยุงตัวค่อยๆ คลานออกมาจากตัวรถท่ามกลางฝุ่นตลบไปทั่ว

          ชายหนุ่มชาวป่าลำคอถูกบาดจากรอยแตกของกระจกหน้าต่างรถเป็นแผลเหวอะหวะ เสียชีวิตคาขอบช่องหน้าต่างของประตูหลัง ข้างหน้าด้านคนขับ หน้าอกนายสิบตำรวจถูกอัดติดกับพวงมาลัยคอหักพับไปข้างหน้า นายตำรวจถูกเครื่องยนต์เบียดอัดเข้ามาที่ขาทั้งสองข้างหัก ทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ชายหนุ่มพยายามงัดบานประตูรถด้านหน้าให้แง้มกว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งๆ ที่มือทั้งสองยังติดอยู่กับกุญแจมือ จากนั้นค่อยๆ ลากร่างนายตำรวจออกให้ห่างจากตัวรถ เพราะเริ่มมีควันขาวลอยออกมาจากเครื่องยนต์

          ขากางเกงทั้งสองข้างของนายตำรวจเปียกแฉะเหนียวเหนอะด้วยเลือดสีแดง ชายหนุ่มบอก เลือดออกมากต้องถอดกางเกงเพื่อห้ามเลือด นายตำรวจพยักหน้ายินยอมด้วยความเจ็บปวด ชายหนุ่มจัดแจงถอดกางเกงขายาวของนายตำรวจออก ทั้งสองช่วยกันฉีกผ้ากางเกงออกเป็นเส้นริ้วยาว นำมาผูกต่อกันเป็นเส้นเชือก ชายหนุ่มนำไปมัดที่ต้นขาทั้งสองข้างของนายตำรวจอย่างแน่นหนาเพื่อห้ามเลือด

          นายตำรวจมีสีหน้าพึงพอใจ พลางล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ โทรเรียกรถพยาบาล โทรแจ้งรายงานอุบัติเหตุร้อยเวรที่สถานีตำรวจ มือที่ถือโทรศัพท์ฯ ค่อยๆ เลื่อนลงมาด้วยความอ่อนแรง มองไปที่ตัวรถ เปลวไฟค่อยๆ ลุกไหม้และลามไปทั่วทั้งคัน จากนั้นหันมามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ สักครูมีเสียงเรียกจากโทรศัพท์มือถือ นายตำรวจยกมือกำโทรศัพท์ฯ ด้วยอาการค่อนข้างลำบาก มีเสียงตามสายสอบถามถึงสถานการณ์ นายตำรวจรายงานไปว่า นายสิบตำรวจและจำเลยถูกไฟครอกตายภายในตัวรถ ส่วนตนกระเด็นออกมานอกรถขาหักทั้งสองข้าง ชายหนุ่มมองหน้านายตำรวจด้วยความงุนงง นายตำรวจบอกให้ชายหนุ่มหยิบเศษผ้าที่เป็นส่วนหนึ่งของกระเป๋ากางเกงขายาวส่งให้ ล้วงเข้าไปหยิบพวงลูกกุญแจบ้านออกมา มีลูกกุญแจมือ จัดแจงไขกุญแจมือให้ชายหนุ่มเป็นอิสระและกล่าวคำว่า ขอบใจมาก ไปเถอะไปให้ไกลจากที่นี่

          ชายหนุ่มมองหน้านายตำรวจด้วยสายตายินดี แต่ยังลังเลใจด้วยความห่วงใยในอาการ นายตำรวจพูดสำทับเบาๆ รีบไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าได้หวลกลับมา ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหา เพราะผู้คนกำลังเดินทางมา

          ชายหนุ่มพยักหน้า ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พนมมือกล่าวคำขอบคุณ แล้วเดินจากไปตามถนนในทิศทางที่จากมา




กรรมดี ชั่ว อยู่ที่เจตนา เหตุผล

          ณ บ้านมุงจากใต้ถุนสูงปลูกริมลำธารในหมู่บ้านเกษตรกรรมติดชายป่าแห่งหนึ่งในตำบลห่างไกลจากเมืองใหญ่ บ้านหลังนี้ อยู่กันเจ็ดชีวิต พ่อแม่และลูกห้าคน เด็กโตเป็นหญิงสาม อีกสองน้องเล็กเป็นชาย เด็กเหล่านี้ต่างนั่งล้อมวงมองดูผู้เป็นพ่อกำลังชำแหละงูหลามตัวใหญ่ด้วยสีหน้าหดหู่

          เมื่อคืนนี้ ได้ยินเสียงแตกตื่นของไก่เลี้ยงในเล้าใต้ถุนบ้าน แต่มิได้มีใครเอะใจ เพราะเข้าใจว่าคงจะมีหนูพุกตัวใหญ่เข้ามากินอาหารไก่ในเล้า สร้างความแตกตื่นจากไก่ตัวผู้หนึ่งและไก่ไข่ตัวเมียสี่ตัว เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า จึงได้พบว่า มีงูหลามตัวใหญ่นอนพุงกางอยู่ภายในเล้าไก่ เพราะไม่สามารถเลื้อยลอดออกไปได้ เมื่อตรวจดูโดยรอบ เหลือแต่ไก่ตัวผู้หนึ่งและไก่ตัวเมียสองตัว ยืนเกาะกลุ่มอยู่ที่มุมด้านหนึ่งด้วยอาการตระหนกลุกลี้ลุกลน

          น่าเศร้าใจ แม่ไก่หายไปอยู่ในท้องงูหลามสองตัว ไข่ไก่อาหารโปรตีนที่เคยได้จะขาดหายไปวันละสองฟอง ด้วยความโกรธ ผู้เป็นพ่อจึงได้ฆ่างูหลามด้วยการทุบหัว จากนั้นปาดท้องงูดึงแม่ไก่แข็งทื่อทั้งสองตัวอออกมา จำใจชำระล้างถอนขนเพื่อปรุงอาหารด้วยความเสียดาย เนื้องูได้แบ่งปันให้เพื่อนบ้าน ส่วนหนังงูนำไปขึงตากที่ฝาบ้าน

          ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้จากหน่วยพิทักษ์ป่ามาหาที่บ้าน หัวหน้าถามหาผู้เป็นพ่อ เจ้าหน้าที่ผู้ติดตามสองนายเดินตรวจรอบบ้าน สักครู่ผู้เป็นพ่อและหัวหน้าพิทักษ์ป่าไม้เดินไปยังฝาบ้านที่ขึงหนังงูหลามตากแห้ง ตามติดด้วยผู้เป็นแม่และลูกๆ ทั้งห้า ถูกกล่าวหาว่าล่าสัตว์ป่า ผู้เป็นพ่อได้พยายามอธิบายและทำความเข้าใจว่า พวกตนมิได้ล่าสัตว์ งูหลามต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด บุกเข้ามากัดกินไก่ของตนในเล้าถึงสองตัว พวกตนเป็นฝ่ายเสียหาย อธิบายเป็นวรรคเป็นเวร ฝ่ายเจ้าหน้าที่ฯ ยืนกรานกล่าวห่าว่ากระทำผิดกฏหมายป่าไม้ สร้างความงุนงงแก่เด็กๆ ทั้งห้า ... ในเมื่องูหลามเป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามาขโมยไก่ที่เลี้ยงถึงในเล้าใต้ถุนบ้านของเรา เสียไก่ไปถึงสองตัว ย่อมมีสิทธิที่จะทำลายสัตว์ร้ายตัวนั้น เพื่อป้องกันมิให้ไปทำลายสัตว์เลี้ยงของผู้อื่น ...

          ในที่สุด เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าไม้ทั้งสามพร้อมหนังงูหลามแห้ง ได้เชิญผู้เป็นพ่อเดินทางไปเสียค่าปรับฐานทำผิดกฏหมายป่าไม้ กระทำการล่าสัตว์ป่าและครอบครองซากสัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตที่สถานีตำรวจ

          อยู่มาวันหนึ่งในฤดูหนาว เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าไม้ชุดเดิมทั้งสามนายได้เข้ามาหาที่บ้าน ซึ่งทุกคนของครอบครัวนี้กำลังสาละวนอยู่กับการผ่าฟืน ผู้เป็นพ่อและแม่ทำการเลื่อยและตัดผ่าฟืนที่กองทับซ้อนใต้ถุนบ้าน จากท่อนไม้และเศษไม้ขอนที่ลอยมากับน้ำหลากในลำธารเมื่อฤดูฝนที่ผ่านมา เด็กๆ ทั้งห้าช่วยกันจัดเรียงไม้ฟืนกองไว้ข้างเล้าไก่

          เจ้าหน้าที่ฯ ทั้งสามขอตรวจค้นกองไม้ด้วยข้อสงสัยลักลอบตัดจากป่า เจ้าของบ้านทั้งสองยินดีให้ตรวจแต่โดยดี ได้พยายามอธิบาย ไม้ทั้งหมดได้ชักลากมาจากลำธาร ถือเป็นของสาธารณะเพราะไหลหลากมากับน้ำป่า ทุกคนย่อมมีสิทธ์นำไปใช้ เพราะเป็นการดีป้องกันการตื้นเขินของลำน้ำ พวกตนมิได้ลักลอบตัดจากป่าแต่ประการใด เจ้าหน้าที่ฯ ทั้งสามมิได้สนใจรับฟัง คงสาระวนพลิกท่อนไม้ใหญ่ที่ยังมิได้ถูกผ่าเป็นไม้ฟืน มุ่งตรวจหาร่องรอยการตัดด้วยของมีคมเพื่อเป็นหลักฐานในการจับผิด

          ลูกๆ ทั้งห้าและเจ้าของบ้านทั้งสองยืนมองเจ้าหน้าที่ฯ ทั้งสามทำการตรวจค้นด้วยความรำคาญ เบื่อหน่าย อธิบายก็แล้ว พูดไปก็เหนื่อยเปล่าเขาไม่รับฟัง จึงอยู่ในภาวะจำยอม ท้อแท้ ทำไมพวกเราต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำเสมอมา

          ท่ามกลางความเงียบปราศจากเสียงพูดคุยสนทนาใดๆ คงมีแต่เสียงพลิกท่อนไม้ไปมาของเจ้าหน้าที่ฯ ลูกชายคนสุดท้องกระตุกแขนผู้เป็นแม่ หันตามไปมอง งูสามเหลี่ยมสีเหลืองเป็นปล้องสลับดำตัวเขื่องขนาดสามคืบ กำลังค่อยๆ เลื้อยเข้าไปซุกตัวในท่อนไม้ใหญ่ ทุกคนเห็น ยกเว้นเจ้าหน้าที่ฯ ทั้งสามยังคงสาละวนตรวจค้น ส่วนเขาทั้งเจ็ดรับรู้ ต่างยืนมองด้วยความรู้สึกเย็นชา ไม่ปริปาก ไม่แสดงอากัปกิริยาใดๆ ปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามยะถากรรม

          เวลาได้ผ่านไปครู่ใหญ่ พลันได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เจ้าหน้าที่ฯ ผู้เป็นหัวหน้าถูกงูกัดที่ข้อมือขวา เจ้าหน้าที่ฯ สองนายช่วยกันตีงูด้วยท่อนไม้ จากนั้น นายหนึ่งจับงูที่ไม่ไหวติงที่ปลายหาง ผู้เป็นหัวหน้าบีบแขนเหนือรอยกัดด้วยมือซ้ายเพื่อห้ามเลือด อีกนายเดินตรงเข้ามาหาผู้เป็นพ่อ เอ่ยปากถามหาแอลกอฮอร์หรือเหล้าเพื่อล้างแผล พ่อบ้านส่ายหน้า ปฏิเสธด้วยความเย็นชา เด็กๆ ทุกคนอยู่ในอาการสงบนิ่ง ยืนดูอยู่ห่างๆ ไร้ความรู้สึกเอื้ออาทร

          เจ้าหน้าที่ฯ ทั้งสามนายพร้อมซากงูสามเหลี่ยมรีบรุดเดินทางไปยังโรงพยาบาลประจำตำบล ที่นั่น ได้รับการชำระล้างแผลและห้ามเลือดด้วยการขันชะเนาะที่ต้นแขนข้างขวาจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ไม่มีเซรุ่มกันพิษงู จึงถูกส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง ไม่มีเซรุ่มกันพิษงูสามเหลี่ยม ได้รับฉีดแต่เซรุ่มกันพิษงูรวม หกวันผ่านไป เพื่อนบ้านได้มาแจ้งข่าวว่า ผู้ถูกงูกัดได้เสียชีวิตด้วยระบบหายใจล้มเหลว

          จากวันนั้นมา ครอบครัวนี้อยู่ทำมาหากินด้วยความสงบสุข ปราศจากการคุกคามใดๆ

**********


          ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ท่านสามารถนำ ข้อเขียน เนื้อหา ไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องแจ้งแต่ประการใด ส่วนภาพประกอบในสาระน่ารู้เหล่านี้ได้คัดลอกมาจาก Internet Public Domains บางภาพอาจมีลายน้ำต้องคงไว้เป็นตัวอ้างอิงถึงที่มา ต้องให้ Credit แก่เจ้าของภาพ และ www.dandinth.com เพื่อประโยชน์ต่อการสืบค้น

คลิกที่นี่ เพื่อกลับไปเริ่มต้นอ่านใหม่

กลับไปหน้าหลัก